Constructive alignment include:

Constructive alignment มาจากความหมายของคำสองคำ คือคำว่า Constructive หมายถึง การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ และ Alignment หมายถึง การที่ผู้สอนสามารถออกแบบวิธีการประเมินและกิจกรรมการเรียนรู้ ที่จะทำให้ผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้


Constructive Alignment จึงสามารถเขียนเป็นสามเหลี่ยมแห่งการเรียนรู้ได้ดังรูป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสามส่วนมีความเชื่อมโยงสอดคล้องกัน

หลักการของ Constructive Alignment สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการออกแบบการประเมินการจัดการเรียนรู้ ทั้งในระดับหลักสูตร หรือระดับรายวิชา Module หรือกิจกรรม แต่ในเล่มหลักสูตร จะใช้ Constructive Alignment ในระดับหลักสูตร โดยทำในระดับของ Sub-PLOs (หรือ PLOs ในกรณีที่หลักสูตรไม่มี Sub-PLOs) ซึ่งเป็นการกำหนด กลยุทธ์การประเมินเพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนมีสมรรถนะที่กำหนดตาม Sub-PLOs และกลยุทธ์การสอนเพื่อเป็นการพัฒนา สมรรถนะของผู้เรียนตามแต่ละ Sub-PLOs (หรือ PLOs)  โดยนำส่วนประกอบต่าง ๆ ใส่ในตัวอย่างตารางต่อไปนี้

Sub-PLOsกลยุทธ์การประเมินกลยุทธ์การสอน
Sub-PLO 1A………………………….………………………………………………………………………………………………
Sub-PLO 1B………………………….………………………………………………………………………………………………
Sub-PLO 1C………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
Sub-PLO 5A………………………….………………………………………………………………………………………………

องค์ประกอบของ Constructive alignment ได้แก่

Learning outcomesAssessment methodTeaching/Learning approaches
คือสิ่งที่บอกว่าผู้เรียนจะต้องรู้ เข้าใจ และทำอะไรได้ หลังจากจบการเรียนในกิจกรรม/คอร์ส/โมดูล/หลักสูตรคือกระบวนการที่ตรวจสอบการเรียนรู้ของ  ผู้เรียนว่าบรรลุตามผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้ กำหนดไว้หรือไม่ โดยมีการให้ Feedback เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าต้องปรับปรุงหรือ ทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ ที่ดีขึ้นคือวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนใช้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนจะเข้าใจว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนนี้

แนวคิด Backward Design

Backward Design คือกระบวนการวางแผนรายวิชาโดย เริ่มต้นจากสิ่งที่เราต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้ (Learning Outcomes) แทนที่จะเริ่มจากเนื้อหาที่เราต้องการสอน กระบวนการนี้แตกต่างจากการออกแบบรายวิชาแบบดั้งเดิมที่เน้น “จะสอนอะไร” และหวังว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ได้เอง แต่ Backward Design จะวางแผนโดยเน้น “ผู้เรียนต้องเรียนรู้อะไร” และจึงค่อยเลือกกิจกรรมและเนื้อหามารองรับ

จุดเด่นของ Backward Design

  • มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่ชัดเจนก่อน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราต้องรู้แน่ชัดว่าเราต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้อะไร แล้วจึงเลือกวิธีสอน (Teaching Method) และเนื้อหาที่จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้นั้นได้
  • เน้น ความเข้าใจ (understanding) หรือความสามารถของผู้เรียนมากกว่าการ “ครอบคลุมเนื้อหา” ในแต่ละภาคการศึกษา ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะครอบคลุมทุกประเด็นเกี่ยวกับหัวข้อหลักสูตร หากเราเริ่มกระบวนการออกแบบด้วยการเลือกเนื้อหา เราจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากทันทีว่าควรตัดอะไรออกไป โดยไม่มีกรอบแนวคิดใด ๆ มาเป็นแนวทาง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้อาจารย์สามารถพิจารณาถึงเป้าหมาย และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับเนื้อหาและทุกแง่มุมของหลักสูตร อาทิ การมอบหมายงาน เกณฑ์การให้คะแนน และแผนการสอน
  • ช่วยให้อาจารย์และผู้เรียนเห็น big ideas และความเชื่อมโยงของเนื้อหาที่ตัวเองจะสอน

แนวทางออกแบบนี้จะช่วยให้อาจารย์ระบุ “แนวคิดหลัก”และ “ทักษะสำคัญ” ของหลักสูตรได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในกระบวนการวางแผนการเรียน จึงสามารถจัดโครงสร้างหลักสูตรเพื่อดึงดูดความสนใจของนักศึกษาไปยังองค์ประกอบเหล่านี้ และช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงหัวข้อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

  • ช่วยให้นักเรียนเห็นถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ช่วยให้อาจารย์ผู้สอนสามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจอย่างโปร่งใสตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งควรทำทุกครั้งที่เริ่มการสอน ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นเหตุผลของหลักสูตรและวัตถุประสงค์ของงานที่พวกเขาต้องทำในอนาคตทำให้และแนวทางการสนับสนุนผู้เรียนของอาจารย์ ทำให้ผู้เรียนรู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น

3 ขั้นตอนของ Backward Design (Wiggins & McTighe, 2005)

1.Identify Desired Results – ระบุผลลัพธ์ที่คาดหวังและตั้งเป้าหมายการเรียนรู้และผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes)

คำถามหลัก: ก่อนการออกแบบลองถามตัวเองว่าผู้เรียนควรรู้อะไร? เข้าใจเรื่องอะไร? และเขาทำอะไรได้บ้าง?

ในขั้นตอนแรกของการออกแบบย้อนกลับ เราจะพิจารณาเป้าหมาย ตรวจสอบมาตรฐานเนื้อหาที่กำหนดไว้ (ระดับชาติ ระดับกระทรวง ระดับมหาวิทยาลัย ระดับคณะ และภาควิชา) และทบทวนความคาดหวังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของหลักสูตร (Stakeholder) มาผสานรวมกับความเชี่ยวชาญที่ต้องการถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะถูกระบุออกมาเป็น ผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ซึ่งเป็นเป้าหมายว่า สิ่งใดคือสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนต้องเข้าใจ มีความสามารถ มีทักษะเมื่อจบหลักสูตร และควรมีความเฉพาะเจาะจงและระบุด้วยถ้อยคำที่เป็นรูปธรรม สังเกตได้ และวัดผลได้ อาจจะประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ Bloom’s Taxonomy มาเป็นคำกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนควรทำได้เมื่อจบหลักสูตรได้

2.Determine Acceptable Evidence – กำหนดหลักฐานการเรียนรู้ (Learning Evidence)และวางแผนการประเมิน (Assessment) ว่านักเรียนจะแสดงความเข้าใจและทักษะได้อย่างไรบ้าง?

คำถามหลัก: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้?

         แนวทางออกแบบหลักสูตรนี้จะส่งเสริมให้ครูผู้สอนและผู้รับผิดชอบวางแผนหลักสูตร คิดแบบประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ก่อนที่จะออกแบบหน่วยการเรียนรู้และบทเรียน เนื่องจากเราจำเป็นต้องติดตามความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียน ให้โอกาสผู้เรียนในการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายและผลลัพธ์การเรียนรู้แล้ว หรือเห็นถึงจุดที่สนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้สอนเห็นถึง ระดับความท้าทาย รวมถึงภาระที่ผู้เรียนต้องแบกรับในการเรียนรู้ไม่มากหรือน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง

3.Plan Learning Experiences and Instruction – ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Experience) เลือกเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ (Learning Activities) วิธีสอน (Teaching Method) และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเป้าหมาย

คำถามหลัก: กิจกรรมการเรียนรู้ใดช่วยให้นักเรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้?

คือการวางแผนบทเรียนและกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้สอดคล้องกับทั้งผลลัพธ์การเรียนรู้และการวัดประเมินที่ออกแบบไว้  อาจจะแบ่งย่อยได้เป็น

  • การจัดระเบียบโครงสร้างเนื้อหาของหลักสูตร การจัดลำดับความยากง่าย หรือตามความเชื่อมโยง เพื่อให้เหมาะสมกับกรอบเวลา ระดับความรู้ของผู้เรียน เพื่อให้สามารถเข้าใจภาพรวมของทั้งหมดได้
  • การเลือกใช้แนวทางการสอน (Teaching Approach) กลยุทธ์ วิธีการ และเทคนิคการสอนแบบต่าง ๆ ในแต่ละเนื้อหาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด หรือเพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ได้

Reference

Biggs, J. (1996). Enhancing teaching through constructive alignment. https://www.researchgate.net/publication/220017462_Enhancing_Teaching_Through_Constructive_Alignment

Biggs, J. (2014). Constructive alignment in university teaching. HERDSA Review of Higher Education
chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https://www.tru.ca/__shared/assets/Constructive_Alignment36087.pdf

https://www.teaching-learning.utas.edu.au/unit-design/constructive-alignment?utm_source=chatgpt.com

https://teaching.resources.osu.edu/teaching-topics/using-backward-design-plan-your
https://fctl.ucf.edu/teaching-resources/course-design/backward-design/?utm_source=chatgpt.com

https://files.ascd.org/staticfiles/ascd/pdf/siteASCD/publications/UbD_WhitePaper0312.pdf?utm_source=chatgpt.com