ผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นประโยคที่บรรยายว่าผู้เรียนจะรู้อะไร (Be Able to Know – Cognitive) ทำอะไรได้ (Be Able to Do – Psychomotor) และจะต้องเป็นอย่างไร (Be Able to Be – Affective) อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนและสามารถประเมินได้เป็นสิ่งที่หลักสูตรจะต้องการันตีว่าเมื่อนักศึกษาเรียน จบแล้ว อย่างน้อยจะต้องมีความสามารถและคุณลักษณะตามที่กำหนดไว้ในผลลัพธ์การเรียนรู้ การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ มักจะมีส่วนผสมของผลลัพธ์การเรียนรู้เฉพาะทางของวิชาชีพ (Specific Learning Outcomes) และผลลัพธ์การเรียนรู้ทั่วไป (Generic Learning Outcomes) ผลลัพธ์การ เรียนรู้ที่ดีควรจะสะท้อนความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ หลักสูตร ซึ่งอาจต้องมีการทำ Mapping เพื่อดูความสอดคล้องและครบถ้วน
ผลลัพธ์การเรียนรู้แบ่งเป็นหลายระดับ ในแต่ละระดับจะต้องมีความสอดคล้องกัน บางครั้งเราจะเรียกความสอดคล้องนี้ว่า Vertical Alignment คือสอดคล้องกันตั้งแต่สถาบัน คณะ สาขา/ภาควิชา และ Learning Outcomes ในระดับต่าง ๆ กัน ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่
- Program Learning Outcomes (PLOs)
- Stage Learning Outcome (SLOs)
- Course Learning outcomes (CLOs)
- ส่วนประกอบของ Learning Outcomes
- หลักการตรวจสอบผลลัพธ์การเรียนรู้
- ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy)
- ระดับการเรียนรู้ตาม Bloom’s Taxonomy ในแต่ละ Domains
- ตัวอย่าง Action Verb ตาม Bloom’s Taxonomy ตามแต่ละ Domains
Program Learning Outcomes (PLOs)
Program Learning Outcomes (PLOs) ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหลักสูตร ซึ่งจะระบุว่าเมื่อบัณฑิตจบการศึกษาแล้ว จะสามารถทำอะไร ได้บ้าง โดยทั่วไปแล้ว PLOs มักจะถูกแตกออกมาเป็น Sub-PLOs ที่มีรายละเอียดมากขึ้น และเป็นส่วนที่มักจะนำมาใช้ในการออกแบบหลักสูตร เนื่องจากผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร (PLOs และ Sub-PLOs) เป็นผลลัพธ์สุดท้ายของหลักสูตร การเขียน PLOs จึงมักจะอยู่ในระดับการ เรียนรู้ที่สูง เช่น การประยุกต์ การวิเคราะห์ การประเมิน และการสร้างสรรค์ เป็นต้น ไม่ควรจะอยู่ในระดับการรู้ การจำ หรือการเข้าใจ
ผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร (PLOs) มักจะได้มาจากความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และจะต้องสอดคล้องกับปรัชญา และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร และหลังจากได้ PLOs ของหลักสูตรออกมาแล้ว เราควรจะต้อง Cross-Check กลับไปว่าได้ตอบความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่มีความสำคัญมากแล้ว
โดยธรรมชาติแล้ว PLOs จะค่อนข้างกว้าง (ถึงแม้จะมีความเฉพาะเจาะจงกับหลักสูตรก็ตาม) จึงมีการแตก PLOs ลงมาให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ออกแบบ วิธีการวัด และกระบวนการจัดการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น โดย Sub-PLOs มีวิธีแตกออกมาได้หลายอย่าง และผู้เรียนอาจจะได้ตามผลลัพธ์การเรียนรู้ย่อยนี้ในช่วงเวลา ต่าง ๆ (ไม่จำเป็นต้องได้ในตอนจบของหลักสูตรเพียงอย่างเดียว)

ภาพที่ 1 แสดงตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง PLOs และ Sub-PLOs
Stage Learning Outcome (SLOs)
Stage Learning Outcomes (SLOs) ผลลัพธ์การเรียนรู้ในแต่ละขั้น หรือเป็น Milestones หรือ Control Points ของการพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้ได้ตาม PLOs โดยจะเป็น Learning Outcomes ที่วัดในระหว่างที่นักศึกษาเรียนจบช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น การวัดเมื่อจบแต่ละปี การศึกษา (ในกรณีนี้อาจจะเปลี่ยนไปเรียก Year Learning Outcomes, YLOs) หรือระยะเวลาการวัดในแต่ Stage อาจไม่เท่ากัน เช่นตัวอย่าง ดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2 แสดงตัวอย่าง Stage Learning Outcomes (SLOs)
หรือในระดับบัณฑิตศึกษา แต่ละ Stage อาจจะเกี่ยวข้องกับการทำงานวิจัย ดังภาพที่ 3

การกำหนด Stage Learning Outcomes จะต้องแน่ใจว่าเมื่อก้าวตามลำดับขั้นนี้แล้ว จะสามารถบรรลุ PLOs ได้เมื่อจบหลักสูตรนั้น แล้ว เมื่อนำหลักสูตรไปใช้ Stage Learning Outcomes นี้จะเป็น Control Point ที่จะต้องถูกเช็คเมื่อถึงรอบระยะเวลา เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้รับ ผิดชอบหลักสูตรได้ทราบถึงสถานะของการพัฒนาผู้เรียน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจในเรื่องของการพัฒนาผู้เรียนในระยะต่อไป
Course Learning outcomes (CLOs)
Course Learning Outcomes (CLOs) หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ในระดับรายวิชา ในการออกแบบหลักสูตรจะมีการดูว่าแต่ละวิชามีส่วนเกี่ยวข้อง ในการพัฒนา PLOs และ Sub-PLOs อย่างไร ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำผ่าน Curriculum Mapping การพัฒนา CLOs ของแต่ละรายวิชา จึงต้องนำ เอา Mapping มาพิจารณาเพื่อให้รายวิชามี CLOs ที่เพียงพอต่อการพัฒนาให้เกิด PLOs และ Sub-PLOs ที่วิชานั้นต้องรับผิดชอบได้
ส่วนประกอบของ Learning Outcomes
การเขียน Learning Outcomes ไม่ว่าจะเป็น Learning Outcomes : LO ในระดับใด มีหลักการเขียน ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ
- Stem หรือส่วนที่บอกว่า ใคร และเมื่อไหร่ เช่น “เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วผู้เรียนสามารถ” หรือ “เมื่อเรียนจบรายวิชานี้แล้วผู้เรียนสามารถ” โดยมากใน การเขียนหลักสูตร เรามักจะไม่ได้เขียน Stem เอาไว้ใน Learning Outcomes ด้วย เนื่องจากมีการระบุชัดเจนแล้วว่าเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ในระดับไหน การเขียนไว้อีกครั้งจะเป็นการใช้คำฟุ่มเฟือย
- Action Verb เป็นกิริยาที่ผู้เรียนต้องแสดงออกมา จึงเน้นว่าเป็น ACTION Verb หรือกริยาที่สะท้อนพฤติกรรม และผู้สอนจะประเมินผลจากผลของคำกริยานี้ Action Verb มีให้เลือกใช้ได้หลากหลาย โดยมีการรวบรวมตัวอย่างและแบ่งหมวดหมู่ตามลำดับขั้นของการเรียนรู้แบบต่าง ๆ
- Object หรือกรรม คือสิ่งที่ถูกกระทำ ในบางครั้ง Object จะใช้เป็นหลักฐานของการเรียนรู้ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่
- Qualifying Phrase หรือส่วนขยายเป็นการสร้างบริบทให้กับผลลัพธ์การเรียนรู้ เพื่อทำให้การสื่อสารผลลัพธ์การเรียนรู้ชัดเจน ว่าหมายความถึงอะไร และสามารถนำไปใช้ในการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ และการประเมินผลได้อย่างชัดเจนขึ้น
ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ปรากฎอยู่ในเล่มหลักสูตร จึงมักเขียนอยู่ในรูปดังต่อไปนี้

หลักการตรวจสอบผลลัพธ์การเรียนรู้
ในการเขียนผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับต่าง ๆ ของหลักสูตร สามารถตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยสามารถใช้หลัก SMART (TT)
- Speak to the Learner : มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ผู้เรียนจะรู้และสามารถทำได้
- Measurable : เป็นตัวบ่งบอกว่าจะวัดผลจากการเรียนรู้ได้อย่างไร
- Applicable : ผู้เรียนจะเอาความรู้ ทักษะ หรือ เจตคติที่เกิดขึ้นหลังจากเรียนรู้ไปใช้ได้อย่างไร
- Realistic : ผลลัพธ์การเรียนรู้จะเกิดได้จริงในเวลาที่กำหนด
- Time-bound : มีการกำหนดช่วงเวลาไว้
- Transparent : เข้าใจง่าย
- Transferable : ผู้เรียนจะสามารถใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้นั้นได้ในบริบทที่มากกว่าในห้องเรียน
Reference
https://cricket.trubox.ca/learning-outcomes/how-to-compose-learning-outcomes/?utm_source=chatgpt.com
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy)
ปี 1956 Benjamin Blooms ได้นำเสนอทฤษฎีด้านการเรียนรู้ (Bloom’s Taxonomy) โดยได้จำแนกโดเมนการเรียนรู้ ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านพุทธิพิสัย/ ปัญญา (Cognitive domain/ Knowledge) 2) ด้านจิตพิสัย/ ทัศนคติ (Affective domain/ Attitude) และ 3) ด้านทักษะ (Psychomotor domain/ Skills) โดยมีสาระสำคัญของแต่ละโดเมนการเรียนรู้ ดังนี้

COGNITIVE เป็นความสามารถทางสมอง ซึ่งเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้า ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตัว บุคคลผ่านการเรียนรู้หรือ การได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ

AFFECTIVE เป็นพฤติกรรมทางด้าน จิตใจ ซึ่งจะเกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความ สนใจ และคุณธรรม

PSYCHOMOTOR เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ บ่งถึงความสามารถในการ ปฏิบัติงานได้อย่าง คล่องแคล่วชำนิชำนาญ ผ่านการลงมือทำ หรือ ทักษะทางปัญญา (Cognitive skills)
ระดับการเรียนรู้ตาม Bloom’s Taxonomy ในแต่ละ Domains



เมื่อต้องออกแบบการสอนสามารถใช้ระดับการเรียนรู้เหล่านี้มาเป็นแนวทางในการกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) ในเบื้องต้นได้ ตัวอย่างเช่น การเรียนการสอนระดับชั้นประถมต้องการให้ผู้เรียน “เข้าใจ” เรื่องระบบนิเวศน์ แต่ในระดับปริญญาตรีจะเป็นการ “ประยุกต์ใช้” เนื้อหาระบบนิเวศน์มาออกแบบวิธีอนุรักษ์ หรือระดับปริญญาเอกจะเป็นการ “สร้างสรรค์” องค์ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับระบบนิเวศน์ผ่านงานวิจัย เป็นต้น จากนั้นจะเป็นการกำหนด Action Verb หรือสิ่งที่ผู้เรียนต้องทำได้เมื่อจบหลักสูตรหรือจบการเรียนรู้ ให้เฉพาะเจาะจงตามระดับที่ผู้สอนต้องการ โดยจะสามารถเลือกใช้คำในระดับบต่าง ๆ ตามตาราง หรือใช้คำถามสำคัญในการกำหนดคำ เช่น ถ้าผู้เรียน “เข้าใจ/ประยุกต์/สร้างสรรค์” ได้จริงจะต้องทำอะไรออกมาให้วัดประเมินได้?
ตัวอย่าง Action Verb ตาม Bloom’s Taxonomy ตามแต่ละ Domains
Cognitive Domain
ระดับ | ความหมาย | ตัวอย่าง Action Verb |
1.จำ (Remembering) | สามารถจดจำสาระสำคัญของเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ไป หรือมีประสบการณ์เรียนรู้ไปแล้ว | ระบุ (Identify), เรียกคืน (Recall), ทำรายการ (List), กำหนด (Define), ทวนซ้ำ (Repeat) |
2.เข้าใจ (Understanding) | สามารถจับใจความ อธิบายเนื้อหาตามความเข้าใจของตนเอง | อธิบาย (Explain/Describe), ยกตัวอย่าง (Examples), แสดงออก (Express), สรุป (Summarize) |
3.ประยุกต์ (Applying) | สามารถใช้งานเนื้อหา หลักการที่เคยเรียนรู้ไปในสถานการณ์ หรือบริบทอื่น ๆ ได้ | แก้ปัญหา (Solve), จัดระเบียบ (Organize), ใช้ประโยชน์ (Utilize), สร้าง (Construct), พัฒนา (Develop), คำนวณ (Calculate), ออกแบบ (Design) |
4.วิเคราะห์ (Analyzing) | สามารถแยกแยะ จัดหมวดหมู่ และบอกความสัมพันธ์ต้องเนื้อหา ปัจจัย ที่เกี่ยวข้องได้ | วิเคราะห์ (Analyze), จัดหมวดหมู่ (Categorize), ตรวจสอบ (Examine), สรุป (Conclude), เชื่อมโยง (Correlate/Relate), วินิจฉัย (Diagnose) |
5.ประเมิน (Evaluating) | สามารถเปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกตามเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล | ประเมินผล (Assess), เปรียบเทียบ (Compare), วิจารณ์ (Critique), ประมาณการ (Estimate), ตัดสิน (Judge), ให้คะแนน (Rate/ Score), อภิปราย (Discuss) |
6.สร้างสรรค์ (Creating) | สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยอาศัยความรู้ที่ได้รับมา หรือต่อยอด พัฒนาจากพื้นฐานของเดิม | ออกแบบ (Design/ Devise), ผลิต (Produce), พัฒนา (Develop), สังเคราะห์ (Synthesize), ทำนายหรือคาดการณ์ (Predict) |
Affective Domain
ระดับ | ความหมาย | ตัวอย่าง Action Verb |
1.ยอมรับฟัง (Receiving) | ผู้เรียนมีความตระหนักและความเต็มใจที่จะรับฟังความคิดใหม่ | ตอบรับ (Replies), ใช้ (Uses), ถาม (Ask), ติดตาม (Follows) |
2.มีส่วนร่วม (Responding) | ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น | ตอบ (Answer), บอก (Tell), ปฏิบัติตาม (Complies), ปฏิบัติ (Performs), ตอบรับ (Respond), อภิปราย (Discusses), ทักทาย (Greets), เขียน (Writes) |
3.เห็นคุณค่า (Valuing) | ปลูกฝังค่านิยมภายในและตระหนักถึงความสำคัญของค่านิยมเหล่านั้น | อธิบาย (Describe), เข้าร่วม (Join), แบ่งปัน (Share), ศึกษา (Study), ทำงาน (Study), ริเริ่ม (Initiate) |
4.จัดระบบคุณค่า (Organizing) | บูรณาการคุณค่าใหม่เข้ากับระบบคุณค่าที่มีอยู่เดิม | ยึดถือ (Adhere), เปลี่ยนแปลง (Alter), บูรณาการ (Integrate), เตรียม (Prepare), เกี่ยวข้อง (Relate), รวม (Combine) |
5.ปฏิบัติเป็นนิสัย (Characterizing) | นำค่านิยมภายในมาใช้ในพฤติกรรมประจำวันอย่างสม่ำเสมอ | เห็นความต่าง (Discriminate), มีอิทธิพล (Influence), ใช้ (use), ปฏิบัติ (Perform), ฝึกฝน (Practice) |
Psychomotor Domain
ระดับ | ความหมาย | ตัวอย่าง Action Verb |
1.เลียนแบบ (Perception) | ใช้ประสาทสัมผัสเพื่อควบคุมกิจกรรมการเคลื่อนไหว | เลือก (Choose), อธิบาย (Describe), ตรวจจับ (Detect), จำแนกแยกแยะ (Differentiate), วาด (Draw) |
2.ควบคุมได้ (Set) | ความพร้อมและความเต็มใจที่จะปฏิบัติ | เริ่ม (Begin), แสดง (Display), อธิบาย (Explain), เคลื่อน (Move), ดำเนินการ (Proceed) |
3.แม่นยำ (Guided Response) | เลียนแบบและการลองผิดลองถูกจนปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง | คัดลอก (Copy), ทำตาม (Follow), ตอบสนอง (React), ปฏิกิริยา (Response) |
4.ผสานสไตล์ (Mechanism) | พัฒนาทักษะและการเคลื่อนไหวด้วยความมั่นใจ | ประกอบ (Assemble), ปรับเทียบ (Calibrate), สร้าง (Construct), แยกออก (Dismantle), แสดง (Display) |
5.ตอบสนองชัดเจน(Complex Overt Response) | ปฏิบัติอย่างชำนาญ มีประสิทธิภาพ และอัตโนมัติ | ประกอบ (Assemble), ปรับเทียบ (Calibrate), สร้าง (Construct), แยกออก (Dismantle), แสดง (Display) |
6.ปรับตัว (Adaptation) | ปรับทักษะการเคลื่อนไหวหรือวิธีการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสภาวะต่าง ๆ | ปรับ (Adapt), เปลี่ยน (Alter), แก้ไข (Change), จัดใหม่ (Rearrange) |
7.สไตล์ตนเอง (Origination) | สร้างทักษะการเคลื่อนไหวหรือการปฏิบัติที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ | จัด (Arrange), สร้าง (Build), รวม (Combine), ประพันธ์ (Compose), ประกอบ (Construct) |
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของ Action Verb ซึ่งบางแหล่งข้อมูลจะพบว่าอาจมีคำบางคำสามารถปรากฏอยู่ได้ในหลายระดับการเรียนรู้ โดยขึ้นกับบริบทของสิ่งที่ผู้เรียนทำและเนื้อหาของการเรียนรู้ และในหลาย ๆ ครั้งผู้สอนที่ทำการออกแบบการเรียนการสอนสามารถใช้คำที่สอดคล้องกับบริบทของเนื้อหาที่รับผิดชอบ และเป้าหมายของการเรียนรู้นั้น ๆ ได้
Reference
https://tips.uark.edu/using-blooms-taxonomy/?utm_source=chatgpt.com
https://www.naeyc.org/sites/default/files/globally-shared/downloads/PDFs/revised-blooms-taxonomy-action-verbs.pdf?utm_source=chatgpt.com
https://www.csulb.edu/sites/default/files/document/document_ced_assessment-office_blooms-taxonomy-action-verbs.pdf?utm_source=chatgpt.com
Alobaidi, A. H. (2020). Assessment of the Psychomotor Domain. AAJMS [Formerly IJMS].Vol.3(2). Pp. 105-141.ISSNe 2522-7386.
Dorji, P. & Yangzom. (2021). Affective Domain: The Uncharted Area of Teaching and Learningin Tertiary Education. Asian Research Journal of Arts & Social Sciences. Vol. 13(1). Pp. 51-65.DOI:10.9734/ARJASS/2021/v13i130206.
Hamid, R et al. 2012. Assessment of Psychomotor Domain in Materials TechnologyLaboratory Work. Procedia –Social and Behavioral Sciences 56:718–723.DOI:10.1016/j.sbspro.2012.09.708.
Jideani, V. A. & Jideani, I. A. (2012). Alignment of Assessment Objectives with InstructionalObjectives Using Revised Bloom’s Taxonomy—The Case for Food Science and TechnologyEducation. Journal of Food Science Education. DOI: 10.1111/j.1541-4329.2012.00141.x
Krathwohl, D. R. (2002). A Revision of Bloom’s Taxonomy: An Overview. Theory into Practice,Vol.41(4).