โดย ผศ. ดร.มนตา ตุลย์เมธาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Assessment กับ Evaluation ต่างกันอย่างไร
เมื่อพูดถึงการประเมิน เรามักเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดระหว่างคำว่า Assessment กับ Evaluation โดยทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างกันที่วัตถุประสงค์ของการประเมิน ดังนี้
Evaluation คือ การประเมินด้วยการตัดสินจากคุณภาพ ที่ได้จากการวัด และเปรียบเทียบกับเกณฑ์ (Criteria) ที่กำหนด เพื่อประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
Assessment คือ การประเมินจากการเพิ่มคุณภาพ เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้ และมีแนวทางการพัฒนาต่อไปได้อย่างไร
การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ภาระงานของผู้เรียนที่ผู้สอนให้ไปจะต้องสามารถปฏิบัติได้ในชีวิตจริงมีความหมาย และเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน ซึ่งในหนังสือ ตำราส่วนใหญ่ ต่างยอมรับว่าวิธีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ตัวอย่าง การประเมินทั่วไป และ การประเมินตามสภาพจริง
ในการประเมินทั่วไป เมื่อต้องการประเมินผลการเรียนจะต้องหยุดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสอบประเมินผลการเรียน แต่สำหรับการประเมินตามสภาพจริง การประเมินผลไม่จำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอน แต่สามารถประเมินผลในระหว่างการเรียนการสอน
ในการประเมินทั่วไป ผู้เรียนจะทราบผลคะแนนจากการประเมินผลการเรียน เช่น ได้ 3 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 เป็นต้น แต่สำหรับการประเมินตามสภาพจริงนั้น ผู้สอนจะต้องแสดงคะแนน และข้อความในการสื่อสารว่าผู้เรียนต้องปรับปรุง แก้ไขในส่วนใด
ในการประเมินผลทั่วไป ผู้สอนจะเป็นผู้บอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด แต่ในการประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ และตอบได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด เพราะอะไร เช่น ครูเล่นโน้ตเพลงผิด ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าผิด และผิดอย่างไร
ในการประเมินผลทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่การสอบเท่านั้น แต่สำหรับการประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ไม่มีเครื่องมือในการประเมินผลชิ้นเดียว แต่จะต้องประเมินหลายครั้ง ติดตามเป็นระยะ ทั้งในรูปแบบการสังเกต สัมภาษณ์ การสอบ ปฏิบัติ และอื่นๆ จากนั้นนำมาประเมินในตอนสุดท้ายอีกครั้ง โดยเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลนั้นมีหลากหลาย
ประเภทของการการทดสอบ (Type of Tests)
- Performance Test การวัดประเมินผลงานปฏิบัติ โดยดูจากกระบวนการและชิ้นงาน
- Paper-pencil Test การสอบในรูปแบบต่างๆ เช่น Essay, Short Answer, True-False, Completion, Matching และ Multiple choice
- Oral Test การสอบปากเปล่า เช่น สอบวิทยานิพนธ์
การประเมินตามสภาพจริงนั้นทั้งการสอน การเรียน และการประเมินผลนั้นจะต้องร้อยเรียงไปพร้อมกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ (OLE)
(Ralph W.Tyler,1930)
ประกอบด้วย
O: Objective จุดมุ่งหมาย
L: Learning Experience การจัดประสบการณ์เรียนรู้
E: Measurement and Evaluation การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
โดยทั้ง 3 ส่วนประกอบจะมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ (OLE)
(Fink,2003:62)
มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ทันสมัยและดียิ่งขึ้นโดยเปลี่ยนจาก
O: Objective เปลี่ยนเป็นLearning Goals จุดมุ่งหมาย
L: Learning Experience เปลี่ยนเป็น Teaching and Learning Activities การจัดประสบการณ์เรียนรู้
E: Measurement and Evaluation เปลี่ยนเป็น Feedback and Assessment การให้ข้อมูลป้อนกลับและประเมินผลการเรียนรู้
เกณฑ์การให้คะแนน: การประเมินตามสภาพจริง
ตัวอย่างเกณฑ์การให้คะแนนการประเมินของผู้สอนว่าเป็นไปตามการประเมินตามสภาพจริงหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากเกณฑ์ 9 ด้าน ดังนี้
สูง | ต่ำ | ||||
บริบทของการประเมิน | |||||
Realistic Activity or context ชิ้นงานและวิธีการประเมินใกล้เคียงกับชีวิตจริงนอกห้องเรียน | 20 | 15 | 10 | 5 | 0 |
Cognitive complex ต้องใช้ทักษะการคิดขั้นสูงในการทำชิ้นงานให้สำเร็จ | 10 | 8 | 5 | 2 | 0 |
Performance-based ประเมินทักษะและความสามารถจากการปฏิบัติหรือสร้างสรรค์ผลผลิต | 5 | 4 | 3 | 2 | 0 |
บทบาทของผู้เรียน | |||||
Formative Assessment การประเมินให้ feedback ผู้เรียนเพื่อกำกับการเรียนรู้ของตนเอง คะแนนไม่มีผลต่อเกรด | 10 | 8 | 5 | 2 | 0 |
Collaborative ผู้เรียนร่วมกันกับผู้เรียน หรือครู ในการทำชิ้นงาน การประเมินการปฏิบัติ และอาจรวมถึงการออกแบบการประเมิน | 10 | 8 | 5 | 2 | 0 |
Defense is required ผู้เรียนนำเสนอคำตอบหรือผลการปฏิบัติชิ้นงานและตอบข้อซักค้าน ซึ่งอาจนำเสนอหน้าชั้นเรียน หรือเป็นข้อเขียนในส่วนหนึ่งของการประเมิน | 5 | 4 | 3 | 2 | 0 |
กระบวนการให้คะแนน | |||||
Multiple indicators or portfolio คะแนนจากการประเมินมาจากการสะท้อนคะแนนหลายส่วน หลายองค์ประกอบ หรือจากแฟ้มสะสมงานและผลงานผู้เรียน | 20 | 15 | 10 | 5 | 0 |
Criteria known by students ผู้เรียนทราบกฎการให้คะแนน หรือเป็นส่วนหนึ่งการกำหนดกฎการให้คะแนน ครูอาจใช้เกณฑ์การให้คะแนนเป็น ส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน | 15 | 12 | 8 | 4 | 0 |
Mastery expectation ชิ้นงานและคะแนนถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนการรอบรู้ของผู้เรียนทั้งในส่วนทักษะและความสามารถ(เน้นอิงเกณฑ์ ไม่อิงกลุ่ม) | 5 | 4 | 3 | 2 | 0 |
รวม (คะแนนเต็ม=100) |
Formative VS Summative
สำหรับการประเมินแบบ Formative จะเป็นการติดตามความก้าวหน้าระหว่างกระบวนการทำงาน ส่วน Summative เป็นการดูจากผลสรุปในตอนสุดท้าย ซึ่งผู้สอนจะต้องติดตามความก้าวหน้าแบบ Formative Assessment เป็นที่ละขั้นเหมือนการปีนขึ้นบันไดและวัดประเมินผลในตอนสุดท้าย (Summative Assessment)
ตัวอย่าง รายการเชฟกระทะเหล็ก จะเห็นกระบวนการในการปรุงอาหารของเชฟ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอร่อยหรือไม่ ทำได้เพียงติดตามความก้าวหน้า ถือว่าเป็น Formative แต่เมื่อเชฟนำไปเสิร์ฟแก่แขก (Guest) แล้วสรุปผลในตอนสุดท้ายว่าอร่อยหรือไม่ ถือว่าเป็น Summative
ซึ่งผู้สอนจะต้องติดตามความก้าวหน้าแบบ Formative Assessment เป็นที่ละขั้นเหมือนการปีนขึ้นบันได (ดังรูป) และวัดประเมินผลในตอนสุดท้าย (Summative Assessment) ซึ่งจุดประสงค์ของการวัดประเมินผลในชั้นเรียน แบ่งได้ 3 จุดประสงค์ ได้แก่
- Assessment for learning จะเป็นการวัดประเมินผลที่เป็นผลดีต่อผู้เรียนและผู้สอน เมื่อผู้สอนวัดประเมินหลังการสอน แล้วนำมาปรับปรุง พัฒนาวิธีการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น
- Assessment as learning จะเป็นการวัดประเมินผลขณะที่เกิดการเรียนรู้ (Formative Assessment) ซึ่งจะเกิดผลดีต่อผู้เรียนเป็นหลัก โดยผู้เรียนนั้นจะสามารถกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ว่าทำถูกต้องหรือไม่ ผิดพลาดและแก้ไขอย่างไร
- Assessment of learning จะเป็นการวัดประเมินผลในตอนสุดท้ายจากผลงาน (Summative Assessment)
จากรูป ในอดีตจะนิยมวัดและประเมินผลในรูปแบบ Assessment of learning ซึ่งจะเป็นการวัดประเมินผลในตอนสุดท้ายจากผลงาน (Summative Assessment) ส่วนในปัจจุบันได้ปรับฐานความคิดเป็นการวัดและประเมินผลในรูปแบบ Assessment as Learning จะเป็นการวัดประเมินผลขณะที่เกิดการเรียนรู้ (Formative Assessment) ซึ่งจะต้องเกิดผลดีต่อผู้เรียนเป็นหลัก จากนั้น ผู้สอนนำ Assessment for Learning มาปรับปรุงการเรียนการสอนของตนเอง และวัดและประเมินผล Assessment of Learning สุดท้ายของผลงาน
ประเภทของการประเมินความก้าวหน้า Formative Assessment
- รูปแบบทางการ (Formal): ควิซ, แบบทดสอบ, คะแนน 0 – 100
- รูปแบบไม่ทางการ (Informal): การถามคำถาม, การสังเกต, การรับฟัง, การตรวจงานของผู้เรียนขณะเรียนรู้
ประเภทของคำถาม (Powerful types of questions)
ในห้องเรียนรูปแบบเดิม ผู้สอนยังคิดยึดติดกับคำถามปลายปิด ใช่ หรือ ไม่ใช่? ซึ่งเป็นการปิดโอกาสการคิด วิเคราะห์ของผู้เรียน ผู้สอนสามารถใช้คำถามด้วย อะไร? (What?) ทำไม (Why?) เมื่อไร (When?) อย่างไร (How?) ที่ไหน (Where?) ใคร (Who?) จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์มากยิ่งขึ้น
จากรูปจะเห็นได้ว่า เครื่องมือที่ใช้ในการวัดประเมินผลนั้นมีการนำมาเลือกใช้ที่แตกต่างกัน เครื่องมือที่เหมาะสมกับ Summative Assessment เช่น การทดสอบเมื่อจบบทเรียน, การสอบปลายภาค, ควิซ, แบบทดสอบ เครื่องมือที่เหมาะสมกับ Formative Assessment เช่น การอภิปรายในชั้นเรียน, ติดตามความคืบหน้าชิ้นงาน
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือที่สามารถประเมินร่วมกันได้ทั้ง Formative และ Summative เช่น การมอบหมายงาน Project ผู้สอนสามารถประเมินความก้าวหน้าจากการปฏิบัติระหว่างทางได้ และเมื่อจบ Project ก็สามารถประเมินเพื่อตัดเกรดได้
ชวนคิด เงื่อนไขของการวัดประเมิน
ในอดีตการวัดประเมินรูปแบบ Summative Assessment จะเป็น paper-and-pencil test การสอบท้ายบท, การสอบกลางภาค การสอบปลายภาค ที่ผู้เรียนต้องมาสอบในวันเดียวกัน และการทดสอบเป็นความลับ แต่ในปัจจุบันการวัดประเมินรูปแบบ Summative Assessment ไม่ได้จำกัดเพียง paper-and-pencil test อาจเป็นการปฏิบัติ ชิ้นงาน โครงงาน การสาธิต หรือการนำเสนอก็ได้ ซึ่งผู้เรียนควรรู้ล่วงหน้าว่าประเมินความรู้ ทักษะใด และมีเวลาเพียงพอที่จะตระเตรียมพัฒนาตนเอง
รูบริคประเมินคุณภาพของการประเมินเพื่อติดตามความก้าวหน้า (Formative Assessment)
ตัวอย่างเกณฑ์การให้คะแนนการประเมินของผู้สอนว่าเป็นไปตามการประเมินเพื่อติดตามความก้าวหน้าหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากเกณฑ์ 7 ด้าน ดังนี้
คะแนนเต็ม 14 คะแนน
กรณีศึกษา Assessment for Learning in KS3/4 Science – Andy and Physics
ซึ่งจากกรณีศึกษา ครู Andy เป็นครูที่ให้กำลังใจแก่ผู้เรียนได้อย่างดีมาก
ในระหว่างการสอนในห้องเรียนครู Andy จะใช้เกมวงล้อความพิโรธในการดำเนินการสอน ซึ่งลักษณะเกมนั้นผู้เรียนจะสุ่มหยิบกระดาษมาคนละ 1 แผ่น ในกระดาษจะมีคำถาม 1 ข้อ และคำตอบ 1 ข้อ ซึ่งเป็นคำตอบของคำถามข้ออื่น เมื่อเพื่อนร่วมชั้นอ่านคำถามจบ คำตอบของใครตรงกับคำถามนั้นจะยกมือตอบและอ่านคำถามของตนเองวนต่อไปเรื่อยๆ จบครบทั้งห้อง
ส่วนอีกเกมที่ครู Andy ได้นำมาใช้ระหว่างการสอนในห้องเรียนคือเกมแต่งประโยค บนกระดานมีกระดาษ 30 ชิ้น ใต้แผ่นกระดาษจะมีคำศัพท์ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนไปในปีนี้ จากนั้นให้ผู้เรียนเลือกสุ่มมา 1 แผ่น และทำการแต่งประโยค ซึ่งเกมต่างๆ นี้จัดเป็น Formative Assessment
กรณีศึกษา Assessment for learning in KS3/4 Science – Anita and Biology
ในระหว่างการสอนครู Anita เมื่อครูตั้งคำถามในชั้นเรียนจะให้ผู้เรียนเขียนคำตอบแล้วยกให้ดู วิธีนี้เป็นการติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนระหว่างเรียน (Formative Assessment)
ครู Anita ประกาศเกณฑ์การให้คะแนนผู้เรียนตั้งแต่คาบแรก คือการใช้เทคนิค “ขั้นบันได” เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจการเรียนรู้ของตนเอง ครู Anita ได้ให้ผู้เรียนมีโอกาสประเมินผลงานของผู้เรียนรุ่นก่อนโดยใช้ระบบขั้นบันได ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้เห็นในแบบที่ครูเห็น ซึ่งเมื่อผู้เรียนปฏิบัติงานของตนเองก็จะเข้าใจและสามารถประเมินผลงานของตนเองได้ รวมถึงทราบว่าทำอย่างไรถึงจะไปยังขั้นบันไดที่สูงขึ้นได้
ครู Anita ได้ใช้ประสบการณ์จากการทำงานกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจวิทยาศาสตร์ รวมถึงการสร้างสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงเมื่อประกอบอาชีพและเชื่องโยงไปสู่งานปฏิบัติงานในชั้นเรียน
จากกรณีศึกษาของครู Andy และครู Anita จะเห็นได้ชัดในเรื่องของการให้ Feedback แก่ผู้เรียนได้ดี
การให้ Feedback (The Power of feedback)
การให้ Feedback ที่ดีนั้นจะต้องให้ในเวลาที่เหมาะสม และผู้เรียนจะต้องสามารถนำไปกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้
การกำกับการเรียนรู้ของตนเอง Self-directed learning (Costa & Kallick. 2009)
- Self-Managing ผู้เรียนสามารถจัดการตนเองได้
- Self-Monitoring ผู้เรียนสามารถติดตามตนเอง
- Self-Modifying ผู้เรียนสามารถปรับปรุงตนเองได้
หลักการในการให้ Feedback
1.เมื่อตอนเริ่ม จะต้องทำการบอกผู้เรียนก่อนว่าจะไปไหน ทำอะไร (Feed Up)
2.จากนั้น ระหว่างทางจะต้องบอกผู้เรียนว่าทำแล้วเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ (Feed Back)
3.เมื่องานเสร็จเรียบร้อย จะทำอะไรต่อไป (Feed forward)
ซึ่งในการ Feed Up, Feed Back และ Feed Forward สามารถกระทำได้ 4 ระดับ ได้แก่
- Task level การให้ Feedback ต่องานหรือชิ้นงานว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่
- Process Level กระบวนการทำงาน
- Self-regulation Level คุณลักษณะพึงประสงค์ต่างๆ ของตนเอง
- Self-level ประเมินตนเอง
“แซนด์วิชฟีดแบค” (Sandwich Feedback Technique)
เทคนิคการให้ Feedback ใน 3 กระบวนการคือ ยกย่อง ติเตียน ยกย่อง
ตัวอย่าง ผมได้อ่านรายงานของคุณเมื่อเช้า สำนวนการเขียนดีมากๆ อ่านแล้วเข้าใจง่าย สรุปครบ ตรงประเด็นดี ผมชอบ (ชม) ติดที่ส่งช้าไปหน่อย ถ้าเร็วกว่านี้จะเยี่ยมเลย (ติ) ยังไงก็พัฒนาต่อไป เพื่อนๆ ก็บอกว่าคุณมีความสามารถด้านนี้นะ (ชม/ให้กำลังใจ)
การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสภาพจริงทั้งหมด แต่ยังสามารถใช้รูปแบบ paper-and-pencil tests ร่วมได้ เช่น หากต้องการทราบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนโดยใช้ Paper Test
หลักการให้ Assignment
1. บอกผู้เรียนให้ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร
2. แสดงให้เห็นว่ามีวิธีการปฏิบัติงานอย่างไร
3. ทำให้ผู้เรียนเห็นว่าทำไมเขาถึงควรทำงานนี้
4. เชื่อมโยงบทเรียนก่อนหน้าและบทเรียนใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของรายวิชา
5. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน
6. คาดคะเนถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและแนะนำวิธีการแก้ไขแก่ผู้เรียน
7. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)

Microsoft Team สามารถเก็บสถิติในการเข้าร่วมกิจกรรมขณะเรียนของผู้เรียนระหว่างการเรียนการสอนออนไลน์ผ่าน Microsoft Team ได้
Before a Lesson or Unit

1.Wordwall.net

2.Google Jam Board


3.Mentimetor
After a Lesson or Unit

1.Coggle ใช้สำหรับการทำ Mind map ในการสรุปบทเรียน

2.Super Soomm 3.Wheel of names



4.Fipgrid.com สรุปคลิปไม่เกิน 1 นาที

5.Google Form โดยแนบใบประกาศโดยใช้ Certify’em Add on ผ่าน Google Forms

6.ZipGrade
รูบริค Rubrics
เครื่องมือในการให้คะแนนที่เกิดจากการรวมกันระหว่างเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring criteria) กับ มาตราประมาณค่าหรือระดับคะแนน (Rating Scale) เพื่อระบุถึงความแตกต่างของผลงาน ซึ่งเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubric) มี 2 ชนิด ดังนี้
1.เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม (Holistic Score) เกณฑ์การให้คะแนนผลงานหรือกระบวนการที่จะประเมินในภาพรวมของผลงานหรือกระบวนการ
2.เกณฑ์การให้คะแนนที่แยกส่วนหรือองค์ประกอบคุณลักษณะของผลงาน (Analytic Rubrics) เกณฑ์การให้คะแนนที่แยกส่วนหรือองค์ประกอบคุณลักษณะของผลงานหรือกระบวนการ แล้วนำแต่ละส่วนหรือองค์ประกอบของคุณลักษณะมารวมกันเป็นคะแนนรวม
วัตถุประสงค์ของการใช้ Rubrics
มุ่งประเมินความคิดขั้นสูง หรือทักษะที่ซับซ้อน ไม่เหมาะจะประเมินด้วยเครื่องมืออื่น
องค์ประกอบของ Scoring Rubric ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่

1.ระดับคะแนนหรือความสามารถ (Performance levels) สามารถกำหนดเป็นตัวเลข หรือคำแสดงคุณภาพ เช่น ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง
ระดับคะแนนหรือความสามารถ (Performance levels)
- คะแนนแต่ละระดับแตกต่างกัน
- ระดับคะแนนครอบคลุมตั้งแต่แย่ที่สุด (poor) จนถึงดีเลิศที่สุด (excellent)
- ระดับคะแนนต่อเนื่องและเท่ากัน เช่น ความแตกต่างระหว่างระดับคะแนน 5 กับ 4 จะต้องมีขนาดเท่ากับความแตกต่างระหว่างระดับคะแนน 2 กับ 1
ตัวอย่าง จาก The Hamburger Rubric จะมีช่วงระดับการความแตกต่างการให้คะแนนต่อเนื่องและเท่ากัน

2.คำอธิบายคุณภาพของแต่ละระดับความสามารถ (Quality Descriptors) นั้นจะเป็นข้อความที่อธิบายคุณภาพของความสามารถที่คาดหวัง แต่ละระดับนั้นต้องใช้ข้อความที่มีความชัดเจนในการใช้ภาษาเข้าใจง่าย สั้นกระชับ และเห็นความแตกต่างระหว่างระดับคะแนนอย่างชัดเจน
คำอธิบายคุณภาพของแต่ละระดับความสามารถ (Quality Descriptors)
1. คำอธิบายคุณภาพเป็นรูปธรรม สามารถมองเห็นและสังเกตได้ หลีกเลี่ยงคำอธิบายที่เป็นนามธรรม
2. คำอธิบายคุณภาพมีความเป็นปรนัย อ่านแล้วเข้าใจตรงกัน
3. คำอธิบายคุณภาพใช้คำสั้นกระชับ ไม่ฟุ่มเฟือย
4. ใช้คำหรือภาษาที่คู่ขนาดกันตลอดทุกช่วงของมาตรวัด
3.เกณฑ์การประเมิน (Criteria) ประเด็นในการประเมินคือสิ่งสะท้อนผลหรือมาตรฐานที่เป็นเป้าหมายของแต่ละภาระงาน
เกณฑ์การประเมิน (Criteria)
1. เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนั้น
2.มีจุดเน้นที่ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome)
3.ใช้คำเชิงบวก
4.กระตุ้นผู้เรียน
5.กำหนดน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์ตามจุดเน้นหนักเบาของผลงาน หรือสมรรถภาพ
Common Misconception about Rubrics
1. Confusing learning outcomes with requirements or quantities
รูบริคไม่เหมาะสมในกรณีที่ผลลัพธ์การเรียนรู้คือ ความรู้ความเข้าใจ ควรใช้การทดสอบ ควิซ แบบทดสอบ จะเหมาะสมมากกว่า
2. Confusing learning outcomes with tasks
รูบริคไม่ควรประเมินที่ลักษณะของชิ้นงาน เช่น ปก, ภาพ, การอ้างอิง, การรายงานบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่ควรประเมินจากลักษณะของผลการเรียนรู้ เช่น การเลือกหัวข้อ, การวิเคราะห์บุคคลที่มีชื่อเสียงเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์
3. Confusing rubrics with evaluative rating scales
Rating Scales เช่น ดีมาก ดี ปานกลาง ปรับปรุง ไม่ได้ให้ feedback สำหรับการพัฒนา ส่วนของ Rubric จะให้ feedback เช่น เลือกใช้สมการที่เหมาะสม, เลือกใช้สมการ 2x + 5 = 15 เป็นต้น
ความเที่ยงตรงของเกณฑ์การให้คะแนน (Validity of rubrics):
การประเมินได้ประเมินในสิ่งที่ตั้งใจประเมินหรือไม่? รวมถึงการพิจารณาถึงความเหมาะสมของภาษาและเนื้อหาของเกณฑ์การให้คะแนน
ความเชื่อมั่นของเกณฑ์การให้คะแนน (Reliability of rubrics):
1) inter-rater reliability
ความคงเส้นคงวาของการให้คะแนนโดยผู้ประเมิน 2_คนซึ่งเป็นอิสระจากกัน
2) intra-rater reliability
ความคงเส้นคงว่าของการให้คะแนนของผู้ประเมินคนเดียวกัน ณ เวลาที่ต่างกัน