รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นแนวคิดที่สนับสนุนการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเป็นการผสมผสานการเรียนรู้แบบ Synchronous (การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกัน) ร่วมกับการเรียนรู้แบบ Asynchronous (การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตามจังหวะของผู้เรียน) ซึ่งในปัจจุบันการจัดการเรียนการสอน Flipped Classroom ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีกระบวนการที่ชัดเจนและสามารถนำมาใช้ได้จริง
บทความนี้เป็นการสรุปหลักการ ประโยชน์ และแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้สอนที่ต้องการนำ Flipped Classroom ไปประยุกต์ใช้
Flipped classroom include:
- หลักการห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
- ประโยชน์ของจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
- แนวทางการนำ Flipped Classroom ไปประยุกต์ใช้
- สิ่งที่ผู้สอนควรคำนึงในการนำ Flipped Classroom ไปปรับใช้กับชั้นเรียน
หลักการห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
ห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flipped Classroom เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centered Learning) โดยสลับบทบาทของการรับสารความรู้พื้นฐานให้เกิดขึ้นนอกเวลาเรียน ผ่านการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการสร้างสื่อการเรียนรู้ เช่น วิดีโอ บทความ หรือแบบฝึกหัดออนไลน์ และใช้เวลาในชั้นเรียนสำหรับกิจกรรมเชิงปฏิบัติ การอภิปราย การแก้ปัญหา รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะจากผู้สอน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ที่มา : https://ctl.utexas.edu/teaching-technology/flipped-classroom
หลักการ FLIP
หลักการง่าย ๆ ที่จะช่วยสร้างการจดจำและเข้าใจเกี่ยวกับ Flipped Classroom ที่อธิบายโดยใช้ตัวย่อของคำว่า FLIP ดังนี้
F : Flexible มีความยืดหยุ่น ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาและวิธีเข้าถึงเนื้อหาก่อนชั้นเรียน รวมถึงทบทวนภายหลังได้
L : Learning Culture เปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนรู้ จากการสอนที่ครูเป็นศูนย์กลาง ไปสู่การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีบทบาทมากขึ้น
I : Intentional Content เนื้อหาที่คัดเลือกอย่างมีจุดประสงค์ เน้นว่ากิจกรรมใดควรทำในรูปแบบเรียนด้วยตนเอง และกิจกรรมใดควรทำในชั้นเรียนร่วมกัน
P : Professional Educator ผู้สอนมีบทบาทเป็น ผู้อำนวยความสะดวก มากกว่าผู้บรรยาย แต่ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญเนื้อหา และต้องสะท้อนและปรับปรุงวิธีสอนอยู่เสมอ
ประโยชน์ของจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
1. ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง – การที่ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ มีการสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้น รวมถึงการได้รับคำแนะนำและคำติชมบ่อยครั้ง ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาและวิธีการนำไปใช้ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น – ผู้เรียนได้เปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้สร้างความรู้แบบมีส่วนร่วม ทำให้มีโอกาสฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ
3. ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้นและเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน – การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกันเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ร่วมกันทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน
4. ผู้สอนและผู้เรียนได้รับ Feedback ซึ่งกันและกันมากขึ้น – การที่ผู้เรียนและผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ผ่านการฝึกฝน ได้รับคำแนะนำ การพูดคุย เป็นการลดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
แนวทางการนำ Flipped Classroom ไปประยุกต์ใช้
ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาว่าสามารถนำ Flipped Classroom มาปรับใช้กับหลักสูตรได้อย่างไร
คำถามช่วยพิจารณา :
- ในชั้นเรียนเซสชันใดที่มีกิจกรรมในห้องเรียนซึ่งแทบไม่มีเวลาทำให้เสร็จ และกิจกรรมนั้นต้องการให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะ?
- มีแนวคิดหรือหัวข้อใดที่ผู้เรียนมักจะเข้าใจได้ยาก โดยอาจพิจารณาจากผลคะแนนสอบหรือคะแนนการบ้าน?
- หัวข้อใดที่ผู้เรียนจะได้ประโยชน์อย่างมากถ้ามีโอกาสฝึกปฏิบัติและได้รับคำแนะนำจากผู้สอนในห้องเรียน?
ขั้นตอนที่ 2 สร้างการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติ พร้อมให้คำแนะนำ
จัดสรรเวลาเรียนในชั้นเรียนใหม่ โดยปรับการสอนในชั้นเรียนเป็นการเรียนรู้ที่มีความท้าทายในระดับที่เหมาะสม ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติ การอภิปราย การแก้ปัญหา โดยผู้สอนคอยให้คำแนะนำตลอดการเรียนรู้ ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญคือการค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เรียนและเนื้อหาหลักสูตร
ขั้นตอนที่ 3 ชี้แจงความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ภายในและภายนอกชั้นเรียน
จุดประสงค์ของ Flipped Classroom คือการนำ “งานที่เน้นการประยุกต์” มาเรียนรู้ในชั้นเรียน และให้ผู้เรียนเรียนรู้เนื้อหาความรู้ก่อนเข้าเรียน
คำถามช่วยพิจารณา :
- ผู้เรียนจะต้องรู้และสามารถทำอะไรได้บ้างหลังจบหลักสูตรนี้? หลักสูตรนี้สอดคล้องกับภาพรวมหรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอย่างไร?
- ปัจจุบันมีการบ้านใดที่สามารถนำมาเรียนรู้ในชั้นเรียนได้บ้าง เพื่อให้ผู้เรียนฝึกการประยุกต์ใช้? มีกิจกรรมใดในชั้นเรียนที่มีเวลาไม่เพียงพอต่อการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ?
- ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้เนื้อหาอะไรบ้างก่อนเข้าชั้นเรียนเพื่อจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
- ผู้เรียนต้องฝึกฝนทักษะอะไรบ้างเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในอนาคต? ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในชั้นเรียนกับงานที่กำลังทำอยู่หลังเลิกเรียนได้หรือไม่?
ขั้นตอนที่ 4 ปรับสื่อการสอนให้ผู้เรียนสามารถเตรียมความพร้อมล่วงหน้าสำหรับการเรียนในชั้นเรียน
ในการเรียนรู้ในชั้นเรียนด้วยกิจกรรมแบบ Active Learning การเตรียมความพร้อมของผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากการพิจารณาว่าผู้เรียนจะต้องมีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่ต้องใช้ในการดำเนินกิจกรรมในชั้นเรียน ผู้เรียนควรอ่านหรือชมอะไรล่วงหน้า เช่น เอกสารการสอน บทความ สื่อวิดีโอ สื่อเสียง เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ หรือการปฏิบัติงานใด ๆ ก่อนเข้าชั้นเรียนและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนล่วงหน้า
ขั้นตอนที่ 5 ขยายขอบเขตการเรียนรู้นอกชั้นเรียนผ่านการปฏิบัติแบบรายบุคคลและแบบร่วมมือกัน
เนื้อหาและทักษะที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ก่อนและระหว่างชั้นเรียน เป็นการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมสำหรับการขยายการเรียนรู้หลังชั้นเรียน เช่น การทำโจทย์ปัญหาให้เสร็จ การทำงานในโปรเจ็กต์ การต่อยอดจากสิ่งที่เริ่มในชั้นเรียนเพื่อเจาะลึกหัวข้อ การฝึกฝนคนเดียวหรือทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมชั้น เป็นต้น
ผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์การประยุกต์ใช้เนื้อหาในชั้นเรียน แต่อาจจำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มเติมหลังเลิกเรียน การขยายขอบเขตการเรียนรู้จากภายในชั้นเรียนไปสู่ภายนอกชั้นเรียนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญและบรรลุผลการเรียนรู้ แนวคิดบางประการสำหรับการเสริมสร้างความเข้าใจของผู้เรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ได้แก่
- ใช้กระดานสนทนาหรือโซเชียลมีเดีย เพื่อขยายความเกี่ยวกับแนวคิดที่พัฒนาขึ้นภายในชั้นเรียน
- นำเสนอปัญหาเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนด้วยตนเองนอกห้องเรียน สามารถนำระบบประเมินออนไลน์มาใช้เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้เรียนได้ทันที
- มอบหมายงานที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและความรู้ที่ได้รับการเรียนรู้ในชั้นเรียนและนำไปใช้ในรูปแบบใหม่หรือในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่ได้ครอบคลุมในชั้นเรียน
- มอบหมายการอ่านเพิ่มเติมเพื่อขยายความแนวคิดที่อภิปรายในชั้นเรียน
- ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างกลุ่มการเรียนรู้
- ปรับการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยให้ผู้เรียนนัดหมายกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อปฏิบัติงานจากโจทย์ปัญหาเพิ่มเติมที่ช่วยขยายความแนวคิดที่เรียนรู้ในชั้นเรียน
สิ่งที่ผู้สอนควรคำนึงในการนำ Flipped Classroom ไปปรับใช้กับชั้นเรียน
- ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความเชื่อมโยงกับหัวข้อการเรียนรู้ในระดับบุคคล เนื่องจาก “การมีส่วนร่วมของผู้เรียน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสนใจและเกิดการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาการเรียนได้มากขึ้น
- ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้ตลอดเวลาผ่านสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในปัจจุบัน ดังนั้น ผู้เรียนก็ควรได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีลักษณะเดียวกันนี้ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในชั้นเรียนเช่นเดียวกัน
- การสอนแบบบรรยายในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบพบหน้า วิดีโอ บทความ หรือพอดแคสต์ ควรใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักหรือเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน
- สร้างวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลายพร้อมการชี้แจงและสาธิต เพื่อรองรับความแตกต่างและความหลากหลายของผู้เรียน
- บทบาทของครูผู้สอนเปลี่ยนไปเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ
Reference
- Center for Teaching & Learning, University of Texas at Austin. (n.d.-a). Flipped Classroom. https://ctl.utexas.edu/teaching-technology/flipped-classroom
- Center for Teaching & Learning, University of Texas at Austin. (n.d.-b). How do you flip a class? https://ctl.utexas.edu/how-to-flip
- Gerstein, J. (2012, May 15). Flipped Classroom: The Full Picture for Higher Education. User Generated Education. https://usergeneratededucation.wordpress.com/2012/05/15/flipped-classroom-the-full-picture-for-higher-education/