เรียบเรียงโดย น.ส.เมตตา มงคลธีระเดช นักพัฒนาการศึกษา สถาบันการเรียนรู้
ในแวดวงของการศึกษา แนวคิดการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล หรือPersonalized Learning ได้ถูกพูดถึงและนำมาปรับใช้การจัดการเรียนการสอนที่สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละบุคคล และยกระดับรูปแบบการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลในยุคปัจจุบัน และข้อจำกัดของแนวคิดระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม“One-Size-Fits-All” ที่เป็นการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบเดียวกัน วิธีการสอนเดียวกัน ภายใต้กรอบระยะเวลาเรียนที่ตายตัวสำหรับผู้เรียนทุกคนนั้น ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งในความเป็นจริง ผู้เรียนแต่ละคนมีระดับความสามารถ สไตล์การเรียนรู้ จังหวะการเรียนรู้ และความสนใจที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการเรียนรู้ดังกล่าวไม่สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มความสามารถ และเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลมากเพียงพอ
การเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning) คืออะไร
การเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยวิธีการเรียนรู้ของตนเอง โดยสามารถปรับให้เหมาะสมกับจุดแข็ง ความต้องการ และความสนใจของแต่ละบุคคล แต่ยังสามารถบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังไว้ได้ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ได้มากกว่าการเรียนรู้ที่มีวิธีการเรียนรู้เพียงวิธีการเดียว
หลักการเรียนรู้เฉพาะบุคคล
1. ธรรมชาติและความต้องการของผู้เรียน แนวทางในการจัดการเรียนรู้ต้องสามารถตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน เช่น สไตล์การเรียนรู้ ความสนใจ และอัตราการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กำหนดเป้าหมายและวิธีการเรียนรู้ การที่ผู้เรียนได้กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้และเลือกวิธีการเรียนรู้ของตนเองตามความสามารถและความสนใจ จะช่วยเพิ่มความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการเรียนได้
3. มีช่องทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง เช่น การเรียนรู้ผ่านสื่อหลายประเภท หรือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่ตรงกับความถนัด
4. วินัยในตนเอง การมีวินัยในตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถรักษาความพยายามและไม่ยอมแพ้แม้จะเจออุปสรรค ซึ่งจะช่วยผลักดันให้สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่กำหนด
5. สิ่งแวดล้อมที่ดีและเอื้อต่อการเรียนรู้ ปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีสมาธิ มีความมุ่งมั่น อดทน และพยายามเรียนรู้ เช่น การมีผู้สอนที่เข้าใจและสนับสนุนผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกมั่นใจและมีกำลังใจในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning)
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน การปรับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างแรงจูงใจที่ดีในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและเกิดประสบการณ์ร่วม จะช่วยให้ผู้เรียนสนใจเนื้อหาการเรียนมากยิ่งขึ้น
- ผลการเรียนที่ดีขึ้น การงานวิจัยพบว่า ผู้เรียนที่ได้รับการเรียนรู้เฉพาะบุคคลมักมีอัตราการประสบความสำเร็จสูงกว่าเพื่อนร่วมชั้น
- การพัฒนาทักษะชีวิตทางสังคม (Soft Skill) การที่ผู้เรียนเป็นผู้กำกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเป็นการปลูกฝังและพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น เช่น การจัดการเวลา การแก้ปัญหา และการกำกับตนเองได้
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เรียนและผู้สอน การทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เรียนแต่ละคน ทำให้ผู้เรียนรู้จุดแข็ง จุดอ่อน และรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนได้ลึกซึ้ง ซึ่งจะทำให้ผู้สอนสามารถปรับกลยุทธ์การสอน การให้คำแนะนำและให้การสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning)
ขั้นที่ 1 วิเคราะห์ธรรมชาติและความต้องการของผู้เรียน
ขั้นตอนนี้เป็นการทำความเข้าใจผู้เรียน เก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีสไตล์การเรียนรู้แบบใด สนใจอะไร จุดแข็งคืออะไร และต้องการพัฒนาเรื่องใด เพื่อค้นหาแนวทางการพัฒนาผู้เรียนแต่ละบุคคล วางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดยผู้สอนสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง (Self-Assessment) ผ่านแบบทดสอบวิเคราะห์จุดแข็ง – จุดอ่อน, สัมภาษณ์ความสนใจรายบุคคล หรือ คอยสังเกต ติดตามพฤติกรรมของผู้เรียน เป็นต้น
ขั้นที่ 2 กำหนดช่องทางการเรียนรู้ หลังจากทราบข้อมูลของผู้เรียนแล้ว ต้องออกแบบช่องทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์รูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคน เช่น
- ผู้เรียนที่ชอบเรียนรู้ผ่านเนื้อหาออนไลน์ : ใช้แฟลตฟอร์ม E-learning เช่น Coursera, YouTube เป็นสื่อการเรียนรู้
- ผู้เรียนที่ชอบการลงมือทำ : ใช้ Project-Based Learning (PBL) ให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างชิ้นงานด้วยตนเองหรือเรียนรู้ร่วมกับเพื่อน
- ผู้เรียนที่ชอบการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น : จัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนร่วมกันเพื่อน ผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญ เช่น กิจกรรม Discussion Forum
ขั้นที่ 3 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ วางแผนกิจกรรมที่หลากหลายตามช่องทางการเรียนรู้ที่กำหนด โดยให้มีระดับความยากที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน ออกแบบกิจกรรมให้มีความน่าสนใจ ท้าทาย เพื่อไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหรือท้อแท้ ซึ่งอาจใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนเสริมได้ เช่น ใช้เกมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ (Gamification) เช่น Kahoot, Quizizz, ใช้ AR/VR เพื่อให้ผู้เรียนได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง
ขั้นที่ 4 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามที่ได้ออกแบบไว้ โดยเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยผู้สอนทำหน้าที่เป็นโค้ช คอยให้ทำแนะนำ สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ขั้นที่ 5 ประเมินผลการเรียนรู้ ว่าผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่ตนเองกำหนดไว้หรือไม่ โดยเลือกใช้วิธีการประเมินที่เหมาะสม อาทิ การประเมินตนเอง (Self-Assessment) การประเมินเพื่อเน้นการพัฒนา (Formative Assessment) การประเมินจากเพื่อน (Peer Assessment) การประเมินเพื่อตัดสินผล (Summative Assessment)
ตัวอย่างแนวทางการนำการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ไปปรับใช้
แนวทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคลมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบกำหนดเส้นทางเอง (Self-Paced Learning) ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning – PBL) โดยมีผู้สอนทำหน้าที่เป็นโค้ช (Coach) คอยให้คำแนะนำและสนับสนุนผู้เรียนตลอดกระบวนการ นอกจากนี้ ผู้สอนสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมและระดับความสามารถของผู้เรียน ระบบจัดการชั้นเรียน (LMS) การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ตลอดจนการประเมินผลที่ช่วยให้การเรียนรู้สอดคล้องตามศักยภาพของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น โดยมีแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้ ดังนี้
1. จัดทำโปรไฟล์ผู้เรียน (Learner Profile)
การสร้างโปรไฟล์ผู้เรียนเป็นการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ จุดแข็ง ความต้องการ แรงจูงใจ ความก้าวหน้า และเป้าหมาย ของผู้เรียนแต่ละคน โดยผู้สอนทำการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยเป็นข้อมูลให้ผู้สอนสามารถออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน สามารถให้คำแนะนำ และติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนได้
2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนกำหนดเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง
ผู้เรียนแต่ละคนมีความสนใจ แรงจูงใจ และจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ปรับแต่งเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง จึงช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาตามศักยภาพของตนได้ดีที่สุด
การออกแบบเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคลไม่ได้หมายความว่านักเรียนจะถูกปล่อยให้เรียนรู้เพียงลำพัง แต่ครูจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการติดตาม ดูแล และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
3. การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
ผู้สอนสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยสนับสนุนตลอดการจัดการเรียนรู้ อาทิ การสร้างสื่อการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสื่อภาพนิ่ง สื่อเสียง สื่อวิดีโอ ผู้สอนสามารถสร้างทางเลือกที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน, การนำระบบการจัดการการเรียนรู้ (Learning Management Systems – LMS) มาใช้สร้างเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคลและติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน เช่น Google Classroom, Moodle เป็นต้น, การใช้เทคโนโลยีเพื่อการประเมิน เช่น Kahoot, Quizizz เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนตลอดการเรียนรู้ เป็นต้น
4. การจัดเตรียมสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดที่นั่งแบบยืดหยุ่น ผู้เรียนสามารถเลือกตำแหน่งที่นั่งให้เหมาะสมกับตนเองได้ หรือจัดสภาพแวดล้อมที่หลากหลายให้เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง เช่น การนั่งวงล้อม การนั่งแบบแบ่งกลุ่ม การยืนเรียน เป็นต้น
5. ออกแบบกิจกรรมที่สนับสนุนการเรียนรู้เฉพาะบุคคล
ออกแบบกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตนเอง เช่น การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้เป็นด่าน เมื่อผู้เรียนผ่านด่านแรก ก็สามารถขยับไปด่านถัดไปได้ ตามจังหวะความเร็วและระดับความสามารถของตนเอง
6. ปรับรูปแบบการประเมิน
ด้วยรูปแบบการเรียนรู้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จึงควรใช้การประเมินเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) เพื่อวัดความก้าวหน้าของผู้เรียน เช่น การใช้แบบทดสอบ การตั้งกระทู้สนทนา ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์
7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกรูปแบบเนื้อหาการเรียนรู้
หากผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกวิธีการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การฟัง การอ่าน หรือการดูคลิปวิดีโอ ผู้เรียนจะสามารถค้นพบว่าวิธีใดที่เหมาะสมและช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ดีที่สุด
8. จัดการเรียนการสอนแบบแบ่งกลุ่ม
ปรับกระบวนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและระดับความสามารถของผู้เรียน โดยอาจใช้การแบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อให้เกิดความเฉพาะตัวมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนเนื้อหา วิธีการเรียนรู้ รูปแบบของผลงาน หรือสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้
9. ส่งเสริมกรอบแนวคิดเพื่อการเติบโต (Growth Mindset)
กระตุ้นให้นักเรียนมองความท้าทายเป็นโอกาสในการเรียนรู้ อดทนต่ออุปสรรค และเรียนรู้จากคำแนะนำและคำติชม แนวคิดเพื่อการเติบโตจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในกำกับการเรียนรู้ของตนเอง และมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
บทบาทของผู้สอนในกระบวนการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning)
บทบาทของผู้สอนใน Personalized Learning ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) และ ที่ปรึกษาทางการเรียนรู้ (Mentor/Coach) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนพัฒนาไปตามศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ บทบาทสำคัญของผู้สอนใน Personalized Learning มีดังนี้
1. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเชื่อมั่น
- ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการเรียนรู้และกล้าลองผิดลองถูก
- ให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และได้รับการสนับสนุนทั้งทางอารมณ์และจิตใจ
2. กระตุ้นการคิดและการตัดสินใจของผู้เรียน
- ใช้คำถามปลายเปิดเพื่อให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และหาคำตอบด้วยตนเอง
- หลีกเลี่ยงการชี้นำหรือบอกคำตอบโดยตรง เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง
3. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย
- สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ทักษะการสืบเสาะ คิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหา
- ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง
4. ให้กำลังใจและสนับสนุนเมื่อต้องเผชิญความท้าทาย
- ไม่รีบแก้ปัญหาให้ผู้เรียนทันที แต่ใช้คำถามช่วยให้ค้นหาทางออกเอง
- เป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
5. สนับสนุนให้ผู้เรียนถอดบทเรียนและพัฒนาตนเอง
- ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) และปรับปรุงพัฒนาตนเอง
- กระตุ้นให้ผู้เรียนมีเป้าหมายการเรียนรู้ระยะยาว
6. เชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้และเครือข่ายภายนอก
- ประสานงานกับแหล่งเรียนรู้ เช่น ครูภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือแหล่งความรู้ในชุมชน
- สนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริงและบุคคลที่มีประสบการณ์
7. ติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
- กำกับและสนับสนุนให้ผู้เรียนพัฒนาตามศักยภาพของตนเอง
- กล่าวชื่นชมเมื่อผู้เรียนมีพัฒนาการเพื่อเสริมแรงจูงใจ
8. ให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์ (Creative Feedback)
- ใช้การประเมินที่ช่วยให้ผู้เรียนไม่รู้สึกกดดัน แต่เกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนา
- ให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ได้จริง
9. ปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- ตรวจสอบและพัฒนาแนวทางการสอนให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของผู้เรียน
- ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้
References
- วิชัย วงษ์ใหญ่, มารุต พัฒผล. (2561). การเรียนรู้ส่วนบุคคล Personalized Learning (พิมพ์ครั้งที่ 1). บริษัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด.
- Stand Together. Personalized learning can transform your classroom – here’s how. Stand Together. Retrieved March 13, 2025, from https://standtogether.org/stories/education/personalized-learning-can-transform-your-classroom-heres-how
- International School Ho Chi Minh City. (2024, December 14). What is personalized learning? Components, benefits & examples. Retrieved March 13, 2025, from https://www.ishcmc.com/news-and-blog/what-is-personalized-learning/
- Morin, A. Personalized learning: What you need to know. Retrieved March 13, 2025, from https://www.understood.org/en/articles/personalized-learning-what-you-need-to-know