Rubric เครื่องมือในการวัดและประเมินผล

feather-calendarPosted on 22 สิงหาคม 2023 document Pedagogyคลังความรู้
แชร์

เรียบเรียงโดย น.ส.จันทิมา ปัทมธรรมกุล นักวิจัย สถาบันการเรียนรู้

รูบริค เป็นเครื่องมือการให้คะแนนที่มีการอธิบายระดับคุณภาพของพฤติกรรมหรือสิ่งที่ประเมินจากผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งในการประเมินกระบวนการและผลงาน 

รูบริคมีความสำคัญในการประเมินการเรียนรู้2 ด้าน ดังนี้ 

1. รูบริค ช่วยในการสอน  

ทำให้ผู้สอนได้เจาะจงไปที่การเรียนรู้มากกว่าการเน้นตามสิ่งที่ตนต้องการ “สอน”  นับว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างการสอนกับการประเมิน 

2. รูบริค ช่วยในการเรียนรู้   

ผู้เรียนได้รู้ถึงเป้าหมายของการเรียนรู้ และความคาดหวังของการเรียนนั้น ๆ 

โดยเฉพาะหากใช้รูบริคเพื่อมุ่งเน้นการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนและให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกฝนซ้ำ  เกณฑ์ประเมินรูบริคจะช่วยให้เห็นถึงการพัฒนาระดับความสามารถไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้  

หากผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบเกณฑ์ของรูบริค ยังเป็นการฝึกให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าเน้นการทำงานให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย 

องค์ประกอบของรูบริค 

    รูบริคประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 

1.เกณฑ์ประเมิน (coherent set of criteria)

2. ระดับพฤติกรรม (performance level)

3.คำอธิบายระดับพฤติกรรม (descriptions of levels of performance)

1.เกณฑ์ประเมิน (coherent set of criteria) คือองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้  ตามความหมายและขอบเขตของ learning outcome ที่จะประเมิน 

2. ระดับพฤติกรรม (performance level) คือ การกำหนดระดับพฤติกรรมของเกณฑ์ประเมินนั้น ๆ ซึ่งอาจกำหนดเป็นตัวเลข เช่น 1 ถึง 5  หรือ ใช้คำที่แสดงถึงความแตกต่างกันในแต่ละระดับ เช่น ระดับเริ่มต้น ระดับกำลังพัฒนา ระดับเชี่ยวชาญ เป็นต้น 

3.คำอธิบายระดับพฤติกรรม (descriptions of levels of performance) คือคำอธิบายพฤติกรรมที่แสดงถึงคุณภาพในแต่ละระดับของเกณฑ์ประเมินนั้น ๆ  

เราสามารถแบ่งประเภทของรูบริคออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 

1.แบ่งตามการเขียนเกณฑ์ประเมิน 

2.แบ่งตามลักษณะงานหรือผลการเรียนรู้ที่ประเมิน  

1.แบ่งตามการเขียนเกณฑ์ประเมิน 

Analytic rubric คือการกำหนดเกณฑ์ประเมินแบบแยกส่วน เหมาะกับการใช้ประเมินแบบ formative โดยจะช่วยในการให้ฟีดแบ็คกับผู้เรียน และเป็นข้อมูลให้ผู้สอนนำไปปรับปรุงหรือพัฒนาการสอนได้ เนื่องจากมีรายละเอียดของแต่ละประเด็นการประเมิน  

ผู้ประเมินกำหนดการให้น้ำหนักความสำคัญในแต่ละเกณฑ์ได้ต่างกันได้  
แต่มีข้อจำกัดคือ ใช้เวลาในการประเมิน  

มากกว่าเกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม เนื่องจากต้องพิจารณาคำอธิบายรายละเอียดของแต่ละเกณฑ์

Holistic rubric  คือการกำหนดเกณฑ์ประเมินแบบภาพรวม 

เหมาะกับการประเมินในกรณีที่ไม่ต้องมีการให้ feedback แก่ผู้เรียน เช่น ในการประเมินแบบ final summative assessment 
 A close-up of a document

Description automatically generated

ส่วนข้อจำกัดของ Holistic rubric คือ  
การอธิบายทุกเกณฑ์รวมกัน และพิจารณาภาพรวม จะไม่สามารถถ่วงน้ำหนักว่าให้ความสำคัญกับคุณลักษณะใดมากกว่า  

ผลการประเมินอาจให้ข้อมูลที่ไม่ละเอียดเจาะจงเพียงพอที่จะเป็นข้อมูลป้อนกลับเพื่อการปรับปรุงหรือพัฒนาการสอน และการเรียนรู้ของผู้เรียน

2.แบ่งตามลักษณะงานหรือผลการเรียนรู้ที่ประเมิน

General rubric คือรูบริคที่ใช้กับการประเมินผลการเรียนรู้หรือประเมินงานที่ใกล้เคียงกัน เหมาะสมสำหรับใช้ประเมินทักษะพื้นฐาน (fundamental skills) ที่แสดงถึงการพัฒนาทักษะกระบวนการ เป็นการระบุเกณฑ์ประเมินที่ไม่ได้เจาะจงสำหรับงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แต่สามารถใช้ได้กับการประเมินงานที่มีผลการเรียนรู้ลักษณะเดียวกัน เช่น Learning Outcome ของการเขียนเรียงความ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ที่ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ดีอย่างไร หรือเจาะจงว่าเป็นการแก้โจทย์ปัญหาอะไร  

ข้อดีของ General Rubric คือ การไม่เจาะจงคำอธิบายเกณฑ์ประเมินต่างๆ เป็นการไม่จำกัดกรอบให้ผู้เรียนจนเกินไป ผู้เรียนสามารถทำหรือมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่พวกเขาควรเรียนรู้ได้เอง ให้ความสำคัญกับการประเมินทักษะ และความรู้ของผู้เรียนมากกว่าที่ชิิ้นงานหนึ่งๆ  

การใช้ general rubric ประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน แม้จะเป็นการทำงานที่ต่างรายวิชา ต่างชิ้นงาน แต่จะช่วยให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเห็นถึงพัฒนาการของ Learning outcome นั้นได้ดีกว่า 

ส่วนข้อจำกัด คือ ในกรณีที่ต้องมีผู้ประเมินหลายคน การใช้ General rubric นั้นยากกว่าแบบ Task specific ส่งผลต่อ scoring reliability โดยเฉพาะกรณีที่ใช้สำหรับการประเมินผู้เรียนจำนวนมาก และมีผู้สอนหลายคน จึงควรให้ผู้ประเมินฝึกใช้รูบริคก่อน 

Task-specific rubric คือรูบริคที่มีเกณฑ์ประเมินและคำอธิบายที่เฉพาะเจาะจงสามารถใช้กับการประเมินในระดับความจำและความเข้าใจในเนื้อหาความรู้ และใช้กับการประเมินแบบเขียนตอบที่ให้ผู้เรียนเขียนหรือบรรยายภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น แบบเติมคำหรือข้อความ แบบตอบสั้น และแบบบรรยาย เป็นต้น 

ข้อดีของ Task-specific rubric คือ ใช้ได้ง่ายกว่า General rubric เพราะระบุเกณฑ์ มีคำอธิบายที่ละเอียดเจาะจงของสิ่งที่จะประเมิน 

 แต่มีข้อจำกัดคือ เหมาะสำหรับการประเมินแบบ summative ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการเรียนรู้ หรือกรณีที่ผู้เรียนจะได้รู้เพียงคะแนน โดยไม่มีการให้ผลป้อนกลับ เนื่องจาก task-specific rubric มีคำอธิบายที่เจาะจงในแต่ละระดับ จึงสามารถชี้นำคำตอบให้แก่ผู้เรียนและส่งผลต่อคะแนน  

นอกจากนี้ อาจไม่เหมาะกับการใช้ task-specific rubric เพื่อให้ผู้เรียนประเมินตนเอง และต้องสร้างเกณฑ์การให้คะแนนใหม่สำหรับงานที่แตกต่างกัน 

ระวัง รูบริคที่เป็น Task-based  

การใช้รูบริคเพื่อประเมินความสำเร็จของกิจกรรมหรือการทำงานนั้นๆ มากกว่าที่การเรียนรู้หรือ Learning outcome เป็นการเขียนรูบริคที่แสดงถึง “ตัวงาน” ไม่ใช่เกณฑ์ที่บ่งชี้ถึงผลการเรียนรู้ กลายเป็นการประเมินว่าทำกิจกรรมเสร็จตามที่กำหนดหรือไม่ ถือว่าบรรลุเพียงการทำงานที่จบหรือครบถ้วนขั้นตอน  

ต่างจากรูบริคที่ดีที่ควรเป็น learning-based ที่เน้นว่าเกิดการเรียนรู้อะไรในการทำกิจกรรมหรือขั้นตอนนั้น 

ความแตกต่างระหว่างรูบริคกับ Checklist

ระวังการเขียนรูบริคที่เป็น “checklist” ที่ประเมินถึงการทำตามข้อกำหนด ว่าทำ-ไม่ทำ หรือ มี-ไม่มี 

ในสิ่งที่ไม่ได้บ่งชี้การเรียนรู้ หรือการตรวจปริมาณ หากใช้รูบริคเพื่อการประเมินผู้เรียนด้วยวิธีคิดนี้ ก็เท่ากับกำลังทำให้ผู้เรียนให้ความสนใจกับการทำงานให้ครบถ้วนแต่อาจไม่ได้เรียนรู้อะไร 

ความแตกต่างระหว่างรูบริคกับ Rating Scale

ระวังการเขียนคำอธิบายพฤติกรรมที่ไม่ได้บอกรายละเอียดใดๆ มีเพียงการแบ่งเป็น rating scales เช่น Excellent, Good, Fair, Poor หรือใช้กราฟฟิคที่สื่อว่าดี-แย่ เป็นต้น เพื่อตัดสินในลักษณะของการไล่ระดับจากน้อย-มาก ไม่ดี-ดี โดยที่ไม่มีคำอธิบายว่าคุณภาพของแต่ละระดับเป็นอย่างไร  

คำถามที่พบได้บ่อยในการใช้งานรูบริค 

Q: รูบริคไม่เหมาะกับการประเมินอะไร 

A: งานหรือข้อสอบที่ประเมินความรู้ระดับความจำ โดยประเมินจากคำตอบว่าถูกหรือผิดโดยที่ผู้เรียนไม่ได้แสดงวิธีทำ เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบ ข้อสอบแบบจับคู่ ข้อสอบแบบถูกผิด   

สิ่งที่ผู้สอนควรคำนึงถึงเมื่อต้องประเมิน 

Order effect ลำดับของงานที่ตรวจหรือความเหนื่อยล้าของผู้ตรวจจนส่งผลต่อการประเมิน 

Item or task carry over effect งานที่ตรวจไปแล้วก่อนหน้าหรือข้อก่อนหน้านี้ (ของคนคนเดียวกัน) ส่งผลต่อการให้คะแนนของงานหรือข้อที่กำลังตรวจ 

Test or performance carry over effect ผลการประเมินของคนก่อนหน้าส่งผลต่อการตรวจงานของคนที่กำลังตรวจอยู่ปัจจุบัน  

Halo effect ความลำเอียงจากความพึงพอใจและความประทับใจอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการประเมิน 

Writing or language mechanics effects ทักษะการเขียนของผู้เรียนส่งผลต่อการประเมิน ทั้งที่ งานชิ้นดังกล่าวไม่ได้ต้องการวัดคุณภาพของการเขียนหรือการใช้ภาษา