เรียบเรียงโดย น.ส.เมตตา มงคลธีระเดช นักพัฒนาการศึกษา สถาบันการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาโดยอัลเบิร์ต แบนดูร่า (Albert Bandura) ซึ่งกล่าวว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) ที่เกิดขึ้นในบริบททางสังคม มนุษย์เราสามารถเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ ได้จากการสังเกต การเลียนแบบ และการมองเห็นจากพฤติกรรมของผู้อื่น นอกเหนือจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง (Direct Experience) เพียงอย่างเดียว แล้วนำมาปรับใช้เป็นแบบแผนในการกำหนดพฤติกรรมของตนเอง
นอกเหนือจากการสังเกตพฤติกรรมแล้ว การเรียนรู้ยังเกิดขึ้นจากการสังเกตผลลัพธ์ของการกระทำพฤติกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นการได้รับรางวัลและการลงโทษ กระบวนการนี้เรียกว่า การเสริมแรงทางอ้อม (Vicarious Reinforcement) เมื่อพฤติกรรมใดได้รับการให้รางวัลอย่างสม่ำเสมอ พฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ต่อไป ในทางตรงกันข้าม หากพฤติกรรมใดถูกลงโทษอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มที่จะหยุดลง
โดยทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เป็นการขยายความจากทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งมองว่าพฤติกรรมถูกกำหนดโดยการเสริมแรงเพียงอย่างเดียว
การทดลองตุ๊กตาโบโบ้ (Bobo Doll Experiment)
ในปี ค.ศ. 1961 อัลเบิร์ต แบนดูร่า (Albert Bandura) และทีมวิจัย ได้ทำการทดลองตุ๊กตาโบโบ้ (Bobo Doll) การทดลองนี้มีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่าพฤติกรรมก้าวร้าวสามารถเรียนรู้ได้จากการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่นหรือไม่ โดยทดลองกับเด็กชาย 36 คนและเด็กหญิง 36 คน อายุ 3-6 ขวบ จากการสังเกตพฤติกรรมต้นแบบของผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชาย 1 คน และผู้หญิง 1 คน โดยมีกระบวนการทดลองดังนี้
วิธีการทดลอง
แบนดูร่า ได้ใช้ตุ๊กตาล้มลุกที่ชื่อว่าโบโบ้ (Bobo Doll) โดยเขาแบ่งเด็กชายและเด็กหญิงออกเป็นกลุ่ม และให้แต่ละกลุ่มสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่มีปฏิสัมพันธ์กับตุ๊กตาโบโบ้
- กลุ่มทดลองที่ 1: เด็ก ๆ สังเกตผู้ใหญ่ที่ทำพฤติกรรมก้าวร้าวกับตุ๊กตา เช่น ตี เตะ โยนตุ๊กตาโบโบ้ รวมถึงการใช้วาจาที่แสดงถึงความรุนแรง
- กลุ่มทดลองที่ 2: เด็กๆ สังเกตผู้ใหญ่ที่แสดงพฤติกรรมสุภาพ ไม่ก้าวร้าวกับตุ๊กตาโบโบ้ และเล่นทิงเกอร์ทอยโดยไม่สนใจตุ๊กตาโบโบ้
- กลุ่มควบคุม: เด็กๆ กลุ่มนี้ไม่ได้เห็นตัวอย่างพฤติกรรมใดๆ
เมื่อเด็กๆ ได้โอกาสเล่นกับตุ๊กตาโบโบ้ด้วยตัวเอง กลุ่มที่ได้เห็นพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้ใหญ่มักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวกับตุ๊กตาเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้สังเกต ในขณะที่กลุ่มที่เห็นพฤติกรรมสุภาพหรือไม่ได้เห็นพฤติกรรมใดๆ แทบจะไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
เด็กผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบผู้ใหญ่เพศเดียวกันมากกว่าเด็กผู้หญิง และเลียนแบบพฤติกรรมที่ก้าวร้าวทางร่างกายมากกว่าเด็กผู้หญิง ส่วนความก้าวร้าวทางวาจาของเด็กชายและเด็กหญิงมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
ข้อสรุป
การทดลองตุ๊กตาโบโบ้ แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมก้าวร้าวผ่านการสังเกตผู้อื่น และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูร่าก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การเสริมแรงทางอ้อม โดยเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับรางวัลหรือยอมรับจากพฤติกรรมใด พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลียนแบบพฤติกรรมนั้น
อย่างไรก็ตามได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการวิจัยนี้ในหลายมุมมอง เช่น การทดลองนี้เป็นการวัดผลลัพธ์ในระยะสั้นของความก้าวร้าวของเด็ก ซึ่งไม่ได้มีการติดตามผลลัพธ์ในระยะยาว และเป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของการเรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมความก้าวร้าวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการพัฒนาทักษะทางสังคมได้อย่างครบถ้วน เช่น ความแตกต่างระหว่างบุคคล ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อารมณ์ หรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม
กระบวนการหลักของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ได้ผสมผสานทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theories) และทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มการรู้คิด (Cognitive theories) เข้าด้วยกัน โดยในปี 1977 แบนดูร่า ได้แก้ไขทฤษฎีนี้ และระบุหลักการสำคัญของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ไว้ดังนี้
- การเรียนรู้ไม่ใช่กระบวนการทางพฤติกรรมเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) ที่เกิดขึ้นในบริบททางสังคม
- การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้จากการสังเกตพฤติกรรมและการสังเกตผลลัพธ์ของพฤติกรรมนั้น (การเสริมแรงทางอ้อม)
- การเรียนรู้ประกอบด้วยการสังเกต การสกัดข้อมูลจากสิ่งที่สังเกต และการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติตามพฤติกรรมนั้น (การเรียนรู้จากการสังเกตหรือการจำลองแบบ) ดังนั้น การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดเจน
- การเสริมแรงมีบทบาทในการเรียนรู้ แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
- ผู้เรียนไม่ใช่ผู้รับข้อมูลอย่างเฉยเมย ปัจจัยด้านการรับรู้ สภาพแวดล้อม และพฤติกรรม ล้วนมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
การจำลองแบบ (Modeling)
แบนดูร่า ระบุว่าการจำลองแบบ (Modeling) เป็นกลไกสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมนุษย์สามารถเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ จากการสังเกตผู้อื่น โดยได้เสนอรูปแบบของการจำลองแบบ 3 ประเภท ดังนี้
- แบบจำลองสด (Live Models): เมื่อมีบุคคลแสดงพฤติกรรมให้เห็นโดยตรง
- คำแนะนำทางวาจา (Verbal Instruction): เมื่อมีบุคคลอธิบายพฤติกรรมที่ต้องการอย่างละเอียด และแนะนำวิธีปฏิบัติตามพฤติกรรมนั้นให้กับผู้สังเกต
- แบบจำลองเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Models): การจำลองแบบที่เกิดขึ้นผ่านสื่อ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต วรรณกรรม และวิทยุ โดยแบบจำลองนี้อาจเป็นตัวละครจริงหรือตัวละครสมมุติก็ได้
โดยข้อมูลจากการสังเกตขึ้นอยู่กับประเภทของแบบจำลอง รวมถึงกระบวนการทางปัญญาและพฤติกรรมต่างๆ โดยประกอบด้วย 4 กระบวนการหลัก ดังนี้ :
- การให้ความสนใจ (Attention) ผู้เรียนต้องให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่ต้องการเรียนรู้ เพราะการให้ความสนใจเป็นขั้นตอนแรกในการนำข้อมูลเข้าสู่การเรียนรู้ โดยการให้ความสนใจขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้สังเกตด้วย เช่น ความสามารถในการรับรู้ ความสามารถทางปัญญา ความตื่นตัว และประสบการณ์ที่ผ่านมา รวมถึงลักษณะของพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ เช่น ความน่าสนใจ ความแปลกใหม่ และคุณค่าของพฤติกรรม
- การจดจำ (Retention) ผู้สังเกตต้องสามารถจดจำรายละเอียดของพฤติกรรมนั้นได้อย่างแม่นยำเพื่อที่จะสามารถทำซ้ำพฤติกรรมได้ โดยการทบทวนด้วยภาพหรือคำพูดจะช่วยให้เกิดการจดจำได้
- การนำไปปฏิบัติ (Reproduction) หลังจากจดจำได้แล้ว ผู้เรียนจะต้องนำสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติให้เกิดผล ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ทักษะทางปัญญาและทักษะทางกายภาพในบางครั้ง การปฏิบัติยังอาจต้องใช้การสังเกตตนเองและการรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่นเพื่อการปรับปรุงและพัฒนา
- แรงจูงใจ (Motivation) การตัดสินใจว่าผู้เรียนจะทำซ้ำพฤติกรรมที่สังเกตได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจและความคาดหวังของผู้เรียน เช่น ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยแรงจูงใจนี้อาจได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับคำชม การได้รับรางวัล หรือการได้รับการยอมรับจากสังคม
การนำทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
จากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ช่วยให้ผู้สอนเห็นว่าการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม เป็นพลังสำคัญที่ช่วยปรับปรุงแนวทางปฏิบัติทางการศึกษาและส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้เรียน
เราสามารถนำทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) มาใช้เป็นแนวทางในพัฒนาผู้เรียนผ่านมุมมองต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ด้านพฤติกรรม
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) สามารถนำมาใช้ในการส่งเสริมการสอนให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในห้องเรียนได้โดยใช้การเสริมแรงเชิงบวกและรางวัล
ตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนมีคำถามและยกมือขออนุญาตก่อนพูด หลังจากนั้นผู้สอนได้เชยชมนักเรียน จะทำให้นักเรียนมีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก นอกจากนี้ นักเรียนคนอื่น ๆ ก็จะทำตามและยกมือขึ้นหลังจากสังเกตว่าพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวก
ในทางกลับกัน นักเรียนที่ถูกตำหนิถึงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้น ก็จะสังเกตพฤติกรรมดังกล่าวและหลีกเลี่ยงการแสดงพฤติกรรมนั้น
- ด้านการสอน
ความสนใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหาการสอน ดังนั้น ก่อนที่จะสอน สาธิตหรือแสดงตัวอย่างให้นักเรียนดู สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้สอนต้องดึงดูดความสนใจให้ได้เสียก่อน เช่น การสร้างความประหลาดใจ การถามคำถามชวนสงสัย การเล่นเกม เป็นต้น นอกจากนี้ การทบทวนเนื้อหาและการใช้สื่อภาพ หรือการใช้กิจกรรมประกอบบทเรียน จะช่วยเปิดประสาทสัมผัสเพื่อสร้างการจดจำพฤติกรรมให้กับผู้เรียนได้
- การสร้างแรงจูงใจ
ผู้สอนมีหน้าที่ในการค้นหาวิธีการต่าง ๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การที่ผู้สอนมีความกระตือรือร้นและแสดงถึงความเอาใจใสในการสอน สามารถกระตุ้นให้นักเรียนกระตือรือร้นในการเรียนได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากนักเรียนมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบผู้สอน
หากนักเรียนมีความมั่นใจและเชื่อว่าตนเองมีความสามารถที่จะเลียนแบบพฤติกรรมบางอย่างได้ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะพยายามและประสบความสำเร็จมากขึ้น ในทางกลับกัน หากนักเรียนขาดความมั่นใจและไม่เชื่อว่าตนมีความสามารถที่เพียงพอ เขาก็จะมีความพยายามน้อยลง
- การทำงานคู่หรืองานกลุ่ม
นอกจากการเรียนรู้จากผู้สอนที่เป็นต้นแบบแล้ว การเรียนรู้ยังเกิดขึ้นได้จากการสังเกตเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมการทำงานเป็นคู่และการทำงานเป็นกลุ่มในห้องเรียนจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์
ตัวอย่างเช่น การจับคู่นักเรียนที่มีความสามารถสูงกับนักเรียนที่มีปัญหา จะทำให้ผู้เรียนสามารถให้คำปรึกษาและรับคำปรึกษาจากเพื่อนร่วมชั้นได้
ในการแบ่งกลุ่ม ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนที่มีแรงจูงใจน้อยจับกลุ่มกับนักเรียนที่มีแรงจูงใจสูง โดยผู้เรียนจะเรียนรู้ผ่านการสังเกตพฤติกรรมและทัศนคติของสมาชิกภายในกลุ่ม เพื่อคาดหวังว่านักเรียนที่มีแรงจูงใจสูงจะสามารถเป็นต้นแบบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้
บทสรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เป็นกรอบในการเชื่อมโยงผู้เรียนกับประสบการณ์จากมุมมองที่หลากหลาย โดยการสร้างบรรยากาศที่นักเรียนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งจากผู้สอน เพื่อนร่วมชั้น รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว
สิ่งหนึ่งที่ทฤษฎีนี้แสดงให้เราเห็นคือ การสังเกตมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมความรู้ พฤติกรรม และทัศนคติของผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เปิดกว้าง มีความเห็นอกเห็นใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีผลลัพธ์ของพฤติกรรมในเชิงบวก
Reference
- Bandura, A., Ross, D., & Ross, S. A. (1961). Transmission of aggression through imitation of aggressive models. Journal of Abnormal and Social Psychology, 63(3), 575–582.
- Bandura, A. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
- Saul McLeod, PhD. (February 1, 2024). Bandura’s Bobo Doll Experiment on Social Learning. Simply Psychology.https://www.simplypsychology.org/bobo-doll.html
- Becton Loveless (January 15, 2024). Bandura’s Social Learning Theory in Education. Education Corner. https://www.educationcorner.com/social-learning-theory/