การสร้างห้องเรียนเพื่อพัฒนา Growth Mindset

feather-calendarPosted on 5 กันยายน 2024 document คลังความรู้Pedagogyคลังความรู้
แชร์

เรียบเรียงโดย นายไพฑูรย์ อนันต์ทเขต นักพัฒนาการศึกษา

จากการวิจัยเกี่ยวกับ Mindset พบว่า ผู้ที่มีชุดความคิดแบบเติบโตหรือ Growth Mindset นั้นจะมีความต้องการที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ดี โดยในบทความนี้จะนำเสนอแนวทางการการพัฒนา Growth Mindset ในชั้นเรียนเพื่อให้ครูผู้สอนได้นำไปปรับใช้กับห้องเรียนของตนเอง

ในระบบการศึกษาหรือสถานศึกษา ครูนั้นจะมีบทบาทในการถ่ายทอดความรู้ มอบประสบการณ์เรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน โดยการสอนของครูผู้ยึดหลัก Growth Mindset จะส่งอิทธิพลต่อศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียนในทางที่ดีกว่าครูที่มี Fixed Mindset

         ดังนั้นก่อนจะพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ครูต้องมีความเข้าในลักษณะ Mindset ทั้งสองแบบและยังจำเป็นต้องพัฒนา Mindset ของตนเองด้วย ในเบื้องต้นครูจำเป็นต้องสำรวจตนเองก่อนว่าอยู่ท่ามกลางความคิดแบบใด โดยผ่านแบบสำรวจชุดความคิด ดังลิงก์ https://forms.gle/xB9MVj1oce8f52Mg8

            การสำรวจและการพัฒนา Mindset ของครูนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ครูกำจัด Fixed Mindset ให้หมดไป เพราะแต่ละคนนั้นก็จะมี Mindset ทั้งสองแบบอยู่ในตัวเสมอ แต่ความเข้าใจและการยึดหลักของ Growth Mindset จะเป็นตัวช่วยเมื่อครูมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมในแบบของ Fixed Mindset ซึ่งการตระหนักหรือการทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอจะสามารถถ่ายทอดหลักของ Growth Mindset ไปยังนักเรียนได้ รวมทั้งยังสามารถพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับนักเรียน และคนรอบข้างได้

ความท้าทาย คือแก่นสำคัญของ Growth Mindset การปล่อยให้นักเรียนมีโอกาสได้ลองผิดลองถูก เรียนรู้ที่จะล้มเหลวและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ได้ก้าวหน้า เติบโตขึ้น แทนที่จะเป็นการประสบความสำเร็จในเรื่องง่าย ๆ ตลอดเวลา และมองว่าเป็นคนฉลาดไม่เคยล้มเหลวเลย  ดังนั้นจึงควรปรับเอาความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ด้วยการทำ 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ โดยการแจ้งแก่นักเรียนว่า ในการเรียนรู้นั้นความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งตัวครูจะต้องเปลี่ยนมุมมอง หรือทำให้เรื่องผิดพลาดนั้นเป็นปกติ เช่น เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็สอบถามความเห็นนักเรียน ถึงสาเหตุของข้อผิดพลาดนั้นแทนการตำหนิ
  2. ความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ในทุกการเรียนรู้เมื่อเกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ขึ้นมา ครูควรเปลี่ยนการลงโทษ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการพูดคุย หาสาเหตุดังข้อ 1 พร้อมกับการหาข้อมูล เรียนรู้ และวางแผนแก้ไข รับมือต่อไปในอนาคตแทน
  3. แนะนำให้นักเรียนก้าวผ่านความล้มเหลว แม้ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะทำให้นักเรียนหาทางแก้ไม่ได้ หรือเกิดความล้มเหลว ความลำบากใจขึ้น จุดสำคัญคือ “ห้ามแก้ไขปัญหาให้” เพราะจะเป็นการตัดโอกาสที่นักเรียนจะได้เรียนรู้และรับมือกับความล้มเหลวไป ดังนั้นครูควรต้องสนับสนุน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความพยายาม ความมั่นใจ ผ่านการให้คำแนะนำ เพื่อให้ผู้เรียนได้คิดทบทวน แก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง

แคโร ดเว็ก (Carol Dweck) กล่าวว่าการตั้งเป้าหมายมี 2 รูปแบบ คือ เป้าหมายในการประเมิน เช่น การสอบได้เกรด A และเป้าหมายในการเรียนรู้ เช่น การพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งโดยทั่วไปคนเราจะตั้งเป้าหมายทั้ง 2 รูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่จะมีเพียงเป้าหมายในการเรียนรู้เท่านั้นที่จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองจนเชี่ยวชาญได้

โดย แคโรล เอมส์ (Carole Ames) ได้พัฒนาระบบ TARGET ซึ่งเป็นระบบเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมในห้องเรียนว่านักเรียนได้รับการจูงใจให้ตั้งเป้าหมายการวัดประเมินหรือเป้าหมายการเรียนรู้มากกว่ากัน โดยพิจารณาจาก 6 ปัจจัย ดังนี้

ปัจจัยเป้าหมายในการเรียนรู้เป้าหมายในการประเมิน
Task (แบบฝึกหัด) ประเภทของแบบฝึกหัด และกิจกรรมการเรียนรู้ ระดับความเข้มงวด การมีส่วนร่วม และผลการเรียนรู้ที่ได้นักเรียนได้รับแบบฝึกหัดที่ท้าทายตามระดับความสามารถ มีความหลากหลายทั้งด้านกระบวนการ ผลลัพธ์ นักเรียนให้ความสนใจสูง รวมทั้งรับรู้ถึงวัตถุประสงค์และคุณค่าของแบบฝึกหัดเป็นแบบฝึกหัดที่ง่าย เน้นการวัดผล คะแนน มีแบบฝึกหัดที่ปรับตามความต้องการของนักเรียนน้อย
Authority (อำนาจตัดสินใจ) บทบาทของนักเรียนในการตัดสินใจ ผู้ออกแบบและผู้นำในการทำกิจกรรมในชั้นเรียนการเรียนการสอนจะนำโดยผู้เรียน ครูทำหน้าที่กระตุ้นการตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ นักเรียนได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำการเรียนการสอนในชั้นเรียนครูแจกแจงวิธีการทำแบบฝึกหัดอย่างชัดเจน นักเรียนมีส่วนร่วมตัดสินใจน้อย
Recognition (การยอมรับ) วิธีการและเหตุผลในการได้รับรางวัลหรือการยอมรับนักเรียนจะได้โอกาสทดลองทำสิ่งที่ท้าทายและสร้างสรรค์ นักเรียนจะได้รับรางวัลหรือการยอมรับจากความพยายาม ทักษะ ความรู้ที่เพิ่มขึ้น หรือการบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้นักเรียนจะได้รางวัลหรือการยอมรับจากการทำแบบฝึกหัด ได้ถูกต้องสมบูรณ์ และเสร็จตามกำหนด
Grouping (การจัดกลุ่ม) วิธีการจัดแบ่งกลุ่มนักเรียนในการทำกิจกรรมกลุ่มกลุ่มของนักเรียนมีคุณลักษณะที่หลากหลาย แตกต่างกันทั้งแนวทาง กลวิธี ระดับความสามารถ โดยนักเรียนจะได้รับการส่งเสริมให้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่แบ่งกลุ่มให้นักเรียนมีคุณลักษณะเหมือนหรือคล้ายกัน ไม่ค่อยหลากหลาย เช่น ระดับความสามารถ และมักคงที่ นอกจากนี้ยังเน้นการแข่งขันกันภายในกลุ่มหรือระหว่างกลุ่ม
Evaluation (การประเมิน) แนวทางในการประเมินผลงานนักเรียน การประเมินกระบวนการ ทักษะ ความรู้การประเมินจะดูจากพัฒนาการและความก้าวหน้าด้านทักษะเป็นรายบุคคลเป็นการประเมินเพื่อตัดสิน มีการเปรียบเทียบกันระหว่างบุคคล
Time (ระยะเวลา) การวางแผน กำหนดการในการเรียน การทำกิจกรรม และแบบฝึกหัดนักเรียนจะได้รับแรงจูงใจให้เรียนรู้ตามระดับความสามารถและจังหวะในการเรียนของตัวเอง กำหนดการสามารถยืดหยุ่นได้เพื่อสอดรับกับช่องว่าง หรือเพื่อพัฒนาความสามารถมีกรอบเวลาที่เข้มงวด ชัดเจน และทุกคนต้องทำตามกำหนดการเดียวกัน ไม่ได้คำนึงถึงความสามารถ จังหวะการเรียนรู้ ให้คุณค่ากับความรวดเร็วมากกว่าความเชี่ยวชาญที่เพิ่มขึ้น

ดเว็ก เห็นว่าการที่นักเรียนได้เรียนรู้ตามความต้องการหรือความสนใจของตนเองเป็นอีกวิธีที่ดีเยี่ยมในการมอบหมายงานที่ท้าทายและยังมีคุณค่ากับนักเรียน โดยนักเรียนจะมีความผูกพัน รู้สึกเป็นเจ้าของผลงานนั้น พร้อมทั้งมีแรงกระตุ้นให้ทุ่มเทเพื่อให้เรียนรู้ในเรื่องนั้นได้สำเร็จ เรามีวิธีที่จะให้นักเรียนมีส่วนร่วมออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเองมาแนะนำทั้งหมด 4 วิธี ดังนี้

  1. แบ่งเวลา 20 เปอร์เซ็นต์ ของเวลาเรียนทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ค้นคว้าหัวข้อที่ตนเองสนใจ หรือได้ลงมือทำโปรเจคที่สนใจ
  2. โปรเจคในฝัน ให้นักเรียนได้เป็นผู้กำหนดโจทย์ หัวข้อโปรเจคด้วยตัวเอง รวมถึงการคิดกระบวนการทำงาน ค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง อีกทั้งยังต้องทบทวนบทเรียนจากอุปสรรคต่าง ๆ ในการทำโปรเจคและแบ่งปันองค์ความรู้ให้กับผู้อื่นด้วย
  3. ชั่วโมงอัจฉริยะ จัดสรรเวลาประมาณ 1 ชม. ต่อสัปดาห์เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสค้นคว้าความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ ชื่นชอบ โดยมีครูเป็นผู้คอยแนะนำ สนับสนุนตลอดเวลา
  4. การเรียนแบบเสาะหาความรู้ ครูจะเป็นผู้ตั้งคำถาม หรือกำหนดประเด็นเพื่อเชิญชวนให้นักเรียนในชั้นเรียนค้นคว้า และสรุปองค์ความรู้ร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา ตอบคำถามจากครูด้วยตนเอง

            ดเว็ก ได้ศึกษาเอาไว้ว่า การให้คำชมนั้นสามารถเป็นได้ทั้งแรงเสริมและกับดักต่อการพัฒนาชุดความคิดแบบเติบโต โดยคำชมที่จะเป็นกับดักนั้นมักจะเป็นการชมไปถึง ตัวบุคคล ระดับสติปัญญา และไม่มีความชัดเจน เช่น เธอเก่งมาก ดีมาก เยี่ยม เป็นต้น

            การกล่าวชมที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการชมไปที่กระบวนการ ความพยายาม หรือการกระทำที่จะส่งผลให้นักเรียนสามารถบรรลุความคาดหวังที่ครูได้ตั้งไว้ เช่น เธอมีความตั้งใจ พยายามในการแก้ไขโจทย์ด้วยวิธีที่หลากหลายดีนะ 

            เช่นเดียวกันการวิจารณ์หรือให้คำแนะนำที่ไม่ส่งผลให้เกิด Growth Mindset ก็จะเป็นกลุ่มที่มุ่งไปที่คุณสมบัติส่วนบุคคล ไม่ชัดเจน เช่น เธออาจจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้  นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่ถนัด หรือเธออาจจะยังทำดีไม่พอ เป็นต้น ดังนั้นการวิจารณ์ หรือให้คำแนะนำที่ดีจะต้องมุ่งไปที่กระบวนการ หรือเป็นการตั้งคำถาม ตั้งประเด็นให้ฉุกคิดถึงวิธีการที่จะสามารถนำไปปฏิบัติต่อได้ เช่น ให้พยายามทำสิ่งนี้ต่อ มันจะชำนาญขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือเธอได้เรียนรู้อะไรในครั้งนี้บ้าง และครั้งต่อไปตั้งใจจะทำอย่างไรต่อ เป็นต้น

            นอกจากนี้สิ่งที่ดีกว่าการให้คำชื่นชมหรือคำวิจารณ์หลังจากจบกิจกรรมไปแล้วนั้น ก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่ผู้เรียนทำ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน และคอยถามคำถามถึงสิ่งน่าสนใจแก่ผู้เรียน เช่น ข้อผิดพลาด แนวคิดที่น่าสนใจ กระบวนการที่สร้างสรรค์ พูดคุยกับนักเรียนถึงวิธีคิดและวิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง

            นอกเหนือจากการทำแบบทดสอบ ยังสามารถใช้กลวิธีประเมินแบบอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาชุดความคิดแบบเติบโตได้ ดังนี้

  • ใบสั่งยา หลังการเรียนรู้และทำแบบประเมินผลระหว่างเรียน ให้นักเรียนเขียนแผน วิธีการปรับปรุงพัฒนาตนเองในประเด็นหรือเนื้อหาที่ยังติดขัด
  • ประเมินเพื่อนร่วมชั้น ให้นักเรียนกล่าวติชม ให้คำแนะนำถึงกระบวนการทำงานของเพื่อนเพื่อให้นำไปปฏิบัติ หรือใช้พัฒนาตัวเองได้ต่อไป
  • ใช้สื่อดิจิทัลติดตามความคืบหน้า ใช้ Google Slide หรือ Google Doc ในการติดตาม สอบถาม ให้ข้อเสนอแนะระหว่างการทำโจทย์ แบบฝึกหัด หรือคิดค้นโครงงาน โครงการ
  • Application Nearpod เป็นเครื่องมือบริหารจัดการสื่อการเรียนรู้จากครูไปยังนักเรียน (https://nearpod.com/)
  • แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเพื่อนร่วมห้อง ให้นักเรียนอธิบายวิธีการเรียนรู้ ความเข้าใจเนื้อหาและเรื่องที่ยังเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจให้เพื่อนฟัง โดยอาจารย์จะเป็นเพียงผู้ฟังและนำข้อมูลไปใช้ปรับการสอน
  • กิจกรรมกลุ่มย่อย ใช้กลุ่มย่อยในการประเมินความเข้าใจของนักเรียน เปิดให้ถามข้อสงสัยหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง และอาจารย์ได้สอนทวน อธิบายเพิ่มเติมให้แก่นักเรียน
  • แบ่งประเภท การให้นักเรียนได้แบ่งประเภท เช่น คำศัพท์ นิยาย ภาพ ฯลฯ จะช่วยให้อาจารย์เห็นถึงความเข้าใจในเนื้อหาของนักเรียนได้
  • ฐานการเรียนรู้ ให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่จัดไว้ตามฐาน
  • ระบบบริการรวบรวมความคิดเห็นแบบดิจิทัล เป็นการรวบรวมข้อมูลหรือประเมินความเข้าใจโดยการใช้ Application เช่น Clickers, Socrative Teacher, Polls Everywhere etc.
  • แบบสำรวจความเห็นหลังเรียน (Exit Ticket) ก่อนแยกย้ายหลังจบการเรียน จะให้นักเรียนตอบคำถามสักหนึ่งข้อหรือมากกว่า เช่น ฉันได้เรียนรู้ว่า?….. ฉันยังสงสัย?….
  • ประเมินตนเอง ให้นักเรียนประเมินความรู้ความเข้าใจของตนเอง ผ่านแบบสำรวจระดับการเรียนรู้
  • แผนผังความคิดหรือโมเดล ใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping, Visual Note, ภาพโมเดล, แผนผัง) ในการจัดเรียงเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ไป นอกจากนี้ยังใช้ตรวจสอบความเข้าใจพื้นฐานก่อนเรียนได้อีกด้วย
  • ไฮไลท์จุดสำคัญ ครูไฮไลท์ลงบนงาน แบบฝึดหัด ของนักเรียนในจุดที่ผิดพลาด จุดที่ยังสงสัย หรือต้องการให้นักเรียนอธิบาย ค้นคว้าเพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้น หรือแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น

ในปัจจุบันระบบการศึกษาจะยังไม่สามารถทำให้ระดับผลการศึกษาหรือ เกรด หายไปได้ แต่ก็มีกลวิธีที่จะช่วยให้เกรดหรือผลตัดสินนี้สะท้อนถึงระดับการเรียนรู้ปัจจุบันและช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพและชุดความคิดแบบเติบโตได้ ดังนี้

  • เปลี่ยนเป็นเกณฑ์วัดแบบอื่น ใช้คำอื่นแทนการตัดเกรดด้วยตัวอักษร A-F เช่น มีความก้าวหน้า มีพัฒนาการ ยังไม่ผ่านเกณฑ์
  • เกณฑ์การประเมิน มีรายละเอียดของเกณฑ์วัดประเมินเพื่อตัดสินที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นถึงเส้นทางการเรียนรู้ของตนเองมากกว่าผลลัพธ์หรือคะแนนที่ได้รับ
  • รายงานผลการเรียน เป็นการเขียนรายงานอธิบายถึงผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนใช้ การพัฒนาต่อยอด โดยจะนำมาใช้ประกอบเพิ่มเติมกับการตัดสินด้วยเกรดปกติ
  • การประชุม มีการจัดประชุมระหว่างครู ผู้ปกครอง และนักเรียนโดยในการประชุมนี้จะมีการให้ผู้เรียนได้บอกเล่าเป้าหมาย กระบวนการเรียนรู้ อุปสรรค และความก้าวหน้าของตนเอง การทำแบบนี้จะช่วยกระตุ้นให้ครู ผู้ปกครองสนใจประสบการณ์ ข้อมูล ข้อคิดเห็นของนักเรียนมากกว่าคะแนนและเกรด

อีกหนึ่งสิ่งที่จะเป็นปัจจัยสำคัญให้นักเรียนคนหนึ่งเติบโตขึ้นได้นั้นคือ “สิ่งแวดล้อมแบบฟูมฟัก” ประกอบด้วยด้วยสมการ ดังนี้

สิ่งแวดล้อมแบบฟูมฟัก คือ การสร้างบรรยากาศห้องเรียนให้นักเรียนรู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่ ดูแล สนับสนุนเมื่อเขาผิดพลาดล้มเหลวจนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนั้นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าครูจะต้องคอยเอาอกเอาใจจนละทิ้งกฎเกณฑ์ทั้งหมดไป ซึ่งสภาพแวดล้อมแบบฟูมฟักจะมีลักษณะดังนี้

  1. ความผิดพลาดถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้ นักเรียนจะได้รับโอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่สองหรือสาม ไม่ใช่ไม่มีบทลงโทษเลย หรือลงโทษแบบไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน
  2. นักเรียนรักครูเพราะครูคอยสนับสนุนพวกเขาให้ทำสิ่งที่ท้าทายและพร้อมตอบสนองความต้องการของนักเรียน ไม่ใช่ตามใจนักเรียนไปทั้งหมด หรือเกรงกลัวอำนาจของครูจนไม่กล้าทำอะไร
  3. ครูเชื่อว่านักเรียนสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกรายวิชาหากพยายามและฝึกฝน ไม่ใช่ตีตราว่าไม่มีพรสวรรค์ในบางวิชาและปล่อยผ่านไป
  4. นักเรียนสามารถจัดการการเรียนรู้ของตัวเองได้และได้รับการสนับสนุนให้ท้าทายตนเอง ครูจึงเปรียบเสมือนผู้อำนวยความสะดวกและนำทาง ไม่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเกินไปจนนักเรียนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือยึดมั่นในกฎเกินไปและมองนักเรียนที่ทำตัวแตกต่างว่าไม่ให้ความร่วมมือ

โดยการจะสร้างสิ่งแวดล้อมแบบฟูมฟักขึ้นมาได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและนักเรียนด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันการออกแบบการเรียนการสอนที่มีความคาดหวังเหมือนกัน มีวิธีการสอนแบบเดียวกัน แบบฝึกหัดที่เหมือนกัน และมีเวลาให้นักเรียนทำจนสำเร็จเท่า ๆ กัน ทั้งหมดนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียน แต่เป็นแบบฝึกหัดที่ท้าทายความสามารถ หรืองานที่มีความหมาย เพื่อให้ได้ใช้ ความรู้ ทักษะ ตามระดับที่เหมาะสม จนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ นักเรียนถึงจะเติบโตได้ แม้ว่านักเรียนอาจจะไม่ได้ชอบงานที่ท้าทายนั้นก็ตาม ซึ่งครูจึงต้องสื่อสารกับนักเรียนถึงความหมาย วัตถุประสงค์ และคุณค่าของงานนั้น ๆ หากทำไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะมอบหมายงานนั้น

ต่อไปนี้คือคำถามสำหรับตรวจสอบตัวครูเองว่าแผนการสอนที่ออกแบบอยู่นั้นท้าทายสำหรับนักเรียนทุกคนหรือไม่

  • นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในงานหรือไม่
  • ได้ออกแบบสื่อการสอนที่มีระดับความยากง่ายแตกต่างกันหรือยัง
  • นักเรียนได้รับการสนับสนุนให้กล้าทำสิ่งที่ท้าทายหรือไม่
  • ฉันจะประเมินได้อย่างไรว่านักเรียนกล้าทำสิ่งที่ท้าทายและเอาชนะอุปสรรคดังกล่าวได้สำเร็จ
  • เตรียมสนับสนุนอะไรไว้บ้างเมื่อนักเรียนต้องเผชิญกับอุปสรรค
  • นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าในกระบวนการเรียนการสอนหรือไม่
  • ฉันที่เป็นครูจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนบรรลุเป้าหมายในการเรียน
  • ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านักเรียนมีส่วนร่วมในงานที่ท้าทายจริงหรือไม่ และต้องดูจากปัจจัยใด
  • ตอนนี้มีแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้อะไรอยู่บ้าง จำเป็นต้องหาเพิ่มเติมหรือไม่
  • ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต้องการคืออะไร ฉันจะประเมินได้อย่างไรว่านักเรียนเข้าใจเนื้อหาแล้วหรือยัง
  • หากนักเรียนไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้จะทำอย่างไร
  • ฉันจะกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสงสัยใคร่รู้ได้อย่างไร
  • ฉันจะแนะนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมได้อย่างไร
  • ฉันรู้หรือไม่ว่านักเรียนชื่นชอบการเรียนรู้รูปแบบใด
  • การสนับสนุนใดจำเป็นต่อการช่วยให้นักเรียนเติบโต
  • ฉันจะปรับแบบฝึกหัดและงานที่มอบหมายให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละคนได้อย่างไร
  • ฉันตั้งเกณฑ์ความคาดหวังกับนักเรียนในชั้นเรียนให้ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ และทำงานกลุ่มย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพพอแล้วหรือยัง
  • นักเรียนให้คำแนะนำเพื่อนร่วมชั้นอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกันได้หรือไม่
  • ฉันเชื่อหรือไม่ว่านักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้

ซึ่งหากคำถามเหล่านี้มีแนวโน้มของคำตอบเป็นรูปแบบเดียวหรือไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก หมายความว่าอาจจะมีนักเรียนบางคนหรือหลายคนกำลังเรียนรู้ หรือถูกท้าทายด้วยแบบฝึกหัดที่ไม่ได้เหมาะสมกับตนเองอยู่

            มานู คาพูร์ (Manu Kapur) ได้ทำการศึกษาและสรุปแนวทาง 6 ข้อ สำหรับสร้างโจทย์ หรือแบบฝึกหัดที่ท้าทายและเอื้อให้นักเรียนฝ่าฟันอุปสรรคได้ ดังนี้

  1. ปัญหาหรือโจทย์ควรท้าทายความรู้ ทักษะ แต่ต้องไม่ถึงกับยากจนสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ
  2. ปัญหาหรือโจทย์ควรมีวิธีแก้หลายวิธีเพื่อให้นักเรียนได้ลองเสนอไอเดีย วิธีการต่าง ๆ ดังนั้นโจทย์ที่มีวิธีการเดียวจะไม่เหมาะสม
  3. โจทย์และการสอนควรกระตุ้นให้นักเรียนใช้ความรู้เดิมและความรู้ใหม่ในการแก้ปัญหาด้วย ไม่ควรเป็นโจทย์ที่ใช้เพียงความรู้เดิมก็แก้ปัญหาได้
  4. นักเรียนต้องมีโอกาสที่จะอธิบายและขยายความวิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาที่พวกเขาใช้
  5. นักเรียนควรมีโอกาสทดลองวิธีการแก้โจทย์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการที่ได้ผลหรือไม่ได้ผล
  6. ปัญหาหรือโจทย์ควรเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้

จากการทดลองของโรเซนธาล (Lindsay Rosenthal) พบว่าการตั้งความหวังที่สูงและครูแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของนักเรียนว่าจะสามารถบรรลุความคาดหวังนั้นได้ ผ่านคำพูดและภาษากายทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้สูงขึ้นได้ โดยโรเซนธาลได้สรุปถึง ปัจจัย 4 ข้อที่จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนประสบความสำเร็จไว้ ดังนี้

  • บรรยากาศ หมายถึง การที่ครูสร้างบรรยากาศ สร้างความคุ้นเคย และสร้างพื้นที่ปลอดภัยกับนักเรียน
  • สิ่งที่ให้ หมายถึง การที่ครูทุ่มเททรัพยากรผ่านการกระทำ กระบวนการพัฒนาศักยภาพแก่นักเรียน พร้อมทั้งบอกความคาดหวังที่ตั้งเอาไว้
  • สิ่งที่ได้ หมายถึง การมอบโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ ลงมือทำ โดยครูต้องเชื่อมั่นว่านักเรียนจะบรรลุความคาดหวังนั้นได้
  • คำติชม หมายถึง การให้คำชมหรือคำแนะนำที่มีคุณภาพในตอนที่มีความเปลี่ยนแปลงจนกว่านักเรียนจะบรรลุความคาดหวัง
  • Annie Brock and Heather Hundley. (2565). คู่มือออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้าง Growth Mindset [The Growth Mindset Coach] (ฐานันดร วงศ์กิตติธร, แปล). กรุงเทพฯ: Bookscape. (ต้นฉบับพิมพ์ปี พ.ศ. 2559).
  • The teacher toolkit. Exit Ticket, จาก https://www.theteachertoolkit.com/index.php/tool/exit-ticket.
  • The Education Hub. How to help students develop a ‘Growth Mindset’, จาก https://www.theeducationhub.org.nz/wp-content/uploads/2019/08/How-to-help-students-develop-a-growth-mindset_amd.pdf

แนวทางการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียนเพื่อพัฒนา Growth Mindset

feather-calendarPosted on 23 กรกฎาคม 2024 document Pedagogy
แชร์

เรียบเรียงโดย นายไพฑูรย์ อนันต์ทเขต นักพัฒนาการศึกษา

Carol Dweck นักวิชาการด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ศึกษาวิจัย และพบว่า สติปัญญา ความคิดสร้างสร้างสรรค์ และทักษะทางกีฬาไม่ใช่คุณสมบัติตายตัวที่มนุษย์มีมาแต่กำเนิด แต่สามารถแปรผันไปตามเวลาและความพยายาม โดยได้นิยามว่า ชุดความคิด (Mindset) หมายถึง มุมมองทางความคิดของตนเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

ชุดความคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset) หมายถึง ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เราเกิดมาพร้อมสติปัญญา ความสามารถ หรือพรสวรรค์ที่ตายตัว ไม่สามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นได้

ชุดความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) หมายถึง ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เราสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างไม่จำกัดด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝนและความเพียรพยายาม

ไม่ว่าความสามารถของคุณจะเป็นอะไร ความพยายามคือตัวจุดประกายให้กับความสามารถนั้นและเปลี่ยนมันเป็นความสำเร็จ Carol Dweck

            จากการศึกษาวิจัยของ Jeffrey Liew พบว่าความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างครูและนักเรียน จะช่วยเรื่องความมุ่งมั่นเชิงวิชาการ ความเชื่อมั่นในทักษะการเรียนรู้ และส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยของ Jan N. Hughes ก็แสดงให้เห็นอีกว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียนยังช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนและเพื่อนร่วมชั้น และมีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมและงานที่ได้รับมอบหมายอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า “ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างครูและนักเรียน” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนา Growth Mindset ของนักเรียน เพราะนักเรียนจะต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้ผ่านแบบฝึกหัดที่ท้าทายความสามารถ ซึ่งอาจจะพบทั้งความล้มเหลว ผิดพลาด จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายการเรียนที่ครูตั้งเอาไว้

1. นักเรียนตระหนักว่าครูเชื่อมั่นว่าพวกเขาไปถึงเป้าหมายได้  หลักสำคัญของ Growth Mindset คือนักเรียนต้องเชื่อว่ามีความสามารถพอที่จะไปถึงเป้าหมายได้ด้วยความพยายาม อดทน มุ่งมั่น ซึ่งการจะให้นักเรียนเชื่อมั่นได้นั้นครูจะต้องมีความเชื่อมั่นเช่นกันและควรหาโอกาสแสดงให้เห็นในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมในความพยายาม หรือการให้คำแนะนำที่จำเป็นต่อนักเรียน

2. นักเรียนเคารพและชื่นชมครูในฐานะบุคคลคนหนึ่ง วิธีการที่ดีวิธีหนึ่งในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนักเรียนคือการใส่ใจความเป็นอยู่ ความชอบส่วนตัว หรือเรื่องราวสัพเพเหระทั่วไป นอกเหนือไปจากเนื้อหาที่รับผิดชอบสอนอยู่ อาจมีการแลกเปลี่ยนทัศคติผ่านเรื่องราวของครูให้นักเรียนในโอกาสนี้ด้วยก็ได้ และเมื่อมีการพูดคุยกัน ครูก็จะได้รับข้อมูลมากขึ้น ได้เห็นความเป็นอยู่พื้นฐานที่แตกต่างกันของนักเรียน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการปรับการสอนให้เหมาะสมกับบริบทของนักเรียนได้

3. นักเรียนต้องการและรับฟังข้อเสนอแนะจากครู หากมีความสัมพันธ์ที่ดีหรือนักเรียนเชื่อว่าครูหวังดีกับตัวเขาจริง เมื่อได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ คำแนะนำ หรือการติชม ก็จะมีการตอบสนองในทางที่เป็นประโยชน์ มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตัวเอง ไม่ต้องคอยแก้ตัว ในทางตรงข้ามเมื่อนักเรียนไม่เปิดใจยอมรับคำแนะนำ คำติชม อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าครูต้องพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น ว่าการติชม การวิพากษ์วิจารณ์นั้นมาจากความใส่ใจ อยากสนับสนุนเขา ไม่ใช่การตีตรา ตัดสินเขาอย่างเดียว

4. นักเรียนเข้าใจว่าผลการเรียนสำคัญน้อยกว่าพัฒนาการ ครูแสดงให้เห็นว่าการตั้งเป้าหมายการเรียนรู้นั้นเป็นการตั้งเป้าหมายเพื่อตัวนักเรียนเอง ซึ่งเกรดจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ เป็นข้อมูลที่ใช้ชี้วัดความก้าวหน้า สิ่งสำคัญกว่าคือโอกาสในการเรียนรู้เนื้อหาจนเข้าใจและทำผลการเรียนให้ดีขึ้น

5. นักเรียนไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยกับครูของพวกเขา แจ็กเกอลีน เซลเลอร์ (Jacqueline Zeller) กล่าวว่า ปัจจัยเชิงสังคมและความรู้สึกในโรงเรียน อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูส่งผลโดยตรงต่อระดับผลการเรียน นักเรียนควรรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในโรงเรียนและต่อหน้าครู ครูต้องไม่ใช่ผู้สร้างความกังวลใจแต่ต้องอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน ปกป้อง ดูแลเขาเมื่อทำผิดพลาด ตามหลัก Growth Mindset ความผิดพลาดคือโอกาสแห่งการเรียนรู้ หากนักเรียนทำผิดพลาด ครูจะต้องรับรู้และจัดการอย่างเป็นมืออาชีพร่วมกับนักเรียนเป็นรายบุคคล ไม่หยุดสนับสนุน มอบความเมตตาให้นักเรียน แทนที่จะเก็บมาเป็นความไม่พอใจส่วนตัว

            ครูที่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียน หลังการทบทวนและพบจุดที่ต้องการพัฒนา หรือเหตุการณ์ที่ต้องการปรับชุดความคิดแล้ว ครูสามารถใช้หลัก SMART มาตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเองในด้านการสอนและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียน ซึ่งจะเป็นการวางแผนพัฒนา Growth Mindset ของตัวครูเองอีกด้วย ซึ่งมีตัวอย่างการทำหลักการ SMART ไปใช้ดังนี้

Specific (เจาะจง) การเขียนเป้าหมายเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนให้ชัดเจน เจาะจง เช่น จะจำชื่อและความชื่นชอบของนักเรียนทุกคนในห้องให้ได้ เป็นต้น

Measurable – (วัดผลได้) เขียนวิธีการประเมินเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เช่น เขียนชื่อและความชอบมาท่องจำและเรียกชื่อทบทวนจริงให้ถูกต้องและบ่อยที่สุด

Actionable – (ปฏิบัติได้) เขียนขั้นตอนการปฏิบัติให้ชัดเจน เช่น จะเริ่มขานชื่อนักเรียนและความชื่นชอบเพื่อนำไปท่องจำทบทวนและลองเรียกด้วยชื่อ บอกความชอบให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้

Realistic – (เป็นไปได้) เขียนระบุทรัพยากรที่ต้องใช้และแรงสนับสนุนที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย เช่น ทำทุกสัปดาห์ จดข้อมูลใส่กระดาษหรือสมุด เป็นต้น

Timely(มีกรอบเวลา) การระบุเวลาในการปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

จะจำชื่อและความชื่นชอบของนักเรียนทุกคนในห้องให้ได้ โดยเมื่อเปิดเทอมฉันจะขานชื่อและสอบถามความชอบใส่สมุดและนำมาท่องจำทุกสัปดาห์ และจะพยายามเรียกชื่อนักเรียนและความชอบให้ถูกต้องบ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จนกว่าจะหมดเทอม

            ฮันเตอร์ เกห์ลแบช (Hunter Gehlbach) และทีมวิจัยพบว่า การที่ครูและนักเรียนมีความคิด ความสนใจคล้ายกันจะส่งผลเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ได้ และการที่ได้มีการจัดกิจกรรมทำความรู้จักกันในช่วงต้นเทอม กำหนด กฎเกณฑ์ในชั้นเรียน ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนได้เช่นกัน ทั้งนี้การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนก็ไม่ควรจบลงแค่วันแรก ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นกิจกรรม กลยุทธ์ให้ครูได้นำไปปรับใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับนักเรียน โดยประกอบด้วย 9 รูปแบบ ดังนี้

  1. หาสิ่งที่เหมือนกัน ช่วงต้นปีการศึกษาหรือต้นภาคการศึกษาควรหาเวลาค้นหาสิ่งที่ชอบ สนใจเหมือนกันระหว่างครูกับนักเรียน เช่น ภาพยนตร์ กีฬา ดนตรี ฯลฯ และครูอาจใช้เป็นหัวข้อในการพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนต่อไปได้
  2. เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารกลางวัน หาโอกาสไปนั่งรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนักเรียน และใช้เวลานี้พูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวก
  3. สนทนา 2 นาที ก่อนเริ่มเรียน หรือหลังช่วงต้นปีการศึกษาหรือต้นภาคการศึกษา ครูสามารถตั้งเป้าหมายในการเข้าไปพูดคุยกับนักเรียน เช่น เมื่อจบการเรียนในแต่ละวัน โดยเฉพาะกับนักเรียนที่กำลังมีปัญหา ในเรื่องทั่ว ๆ ไป ซึ่งการทำแบบนี้อาจจะได้ข้อมูลที่มีคุณค่าเกี่ยวกับชีวิตนักเรียนและนำมาคิดวิธีดูแลนักเรียนคนนั้นต่อไปได้
  4. ตอบตกลงเท่านั้น เป็นวิธีการตั้งเป้าหมายตนเองว่าจะตอบ “ตกลง” ต่อคำร้องขอของนักเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป็นการให้สิทธิ์ตัดสินใจ และกระตุ้น สร้างแรงจูงใจแก่นักเรียนได้
  5. ทักทายที่หน้าประตู ก่อนเข้าห้องเรียน เมื่อมีโอกาสก็ควรทักทายนักเรียนด้วยถ้อยคำและรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ซึ่งการทำเช่นนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ได้เช่นกัน
  6. กิจกรรมทำความรู้จัก ช่วงต้นปีการศึกษาหรือต้นภาคการศึกษา การจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ทำความรู้จักกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกันได้ นอกจากนี้ครูก็อาจลงไปร่วมกิจกรรมนี้ได้เช่นกัน
  7. สัญญาณมือและรหัสลับ ช่วงต้นปีการศึกษาหรือต้นภาคการศึกษา การหากิจกรรมสร้างรหัสลับ สัญญาณมือ แทนการออกคำสั่งบางอย่างเช่น เตรียมพร้อม นั่งที่ เงียบเสียง ก็จะเป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกได้ รวมถึงเป็นการช่วยลดการตะโกนสั่งการได้อีกด้วย
  8. กฎที่เท่าเทียม เป็นการง่ายที่จะสร้างกฎของชั้นเรียนเพื่อให้นักเรียนทำตาม แต่โดยมากครูมักมีอำนาจ สิทธิ์ขาดเหนือกว่าเสมอ หากต้องการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกขึ้นครูก็ควรที่จะปฏิบัติตามกฎนั้นอย่างเท่าเทียม และยินดีหากมีนักเรียนท้วงติงเมื่อทำผิดกฎนั้น
  9. พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ หาโอกาสคุยเรื่องทั่วไป นอกเหนือจากการเรียน กับนักเรียนแต่ละคน การทำเช่นนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณครูใส่ใจตัวเขา รับรู้ถึงชีวิตนอกห้องเรียนของเขา

เราเติบโตด้วยการอุ้มชูผู้อื่น Robert Ingersoll

References:

  • Annie Brock and Heather Hundley. (2565). คู่มือออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้าง Growth Mindset [The Growth Mindset Coach] (ฐานันดร วงศ์กิตติธร, แปล). กรุงเทพฯ: Bookscape. (ต้นฉบับพิมพ์ปี พ.ศ. 2559).
  • Liew, J., Chen, Q., & Hughes, J. N. (2010). Child effortful control, teacher–student relationships, and achievement in academically at-risk children: Additive and interactive effects. Early Childhood Research Quarterly25(1), 51-64.
  • Hughes, J. N., Cavell, T. A., & Willson, V. (2001). Further support for the developmental significance of the quality of the teacher–student relationship. Journal of school psychology39(4), 289-301.

แบบสำรวจเพื่อการพัฒนาตนเองตามกรอบ KMUTT PSF (Teaching and Supporting Learning)

feather-calendarPosted on 10 กรกฎาคม 2024 document ข่าวและกิจกรรม2024
แชร์

Link เพื่อทำแบบสำรวจ https://psf.kmutt.ac.th/

แบบสำรวจเพื่อการพัฒนาตนเองชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ท่านได้ลองประเมินตนเองว่าใน KMUTT Professional Standards Framework for teaching and supporting learning (KMUTT PSF) ระดับ Competent และ Proficient ท่านมีสมรรถนะใดแล้วบ้าง และเสนอแนะในส่วนที่ท่านอาจเพิ่มเติม และแนะนำกิจกรรมหรือแหล่งเรียนรู้ที่จะช่วยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของท่าน และท่านอาจใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบในการตัดสินใจขอรับรอง KMUTT PSF ด้านการจัดการเรียนการสอน

แบบสำรวจนี้เราได้นำแต่ละองค์ประกอบที่ระบุใน KMUTT PSF (Teaching and Support Learning) ระดับ Competent และ Proficient มา regroup มาถอดเป็นคำถามเพียง 8 ข้อ เป็นคำถามแบบ checklist ที่ให้ท่านเลือกตอบข้อที่ตรงกับการจัดการเรียนการสอนของท่านใช้เวลาตอบประมาณ 3-5 นาที คำตอบจะถูกนำไปแปรผลโดย map กลับไปที่สมรรถนะที่ระบุไว้ของแต่ละระดับ ผลที่ออกมานั้นเป็นเพียงการคาดคะเนสมรรถนะจากคำตอบที่มาจากประสบการณ์ของท่านเท่านั้น คำตอบจึงใช้เป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาเบื้องต้นมิได้นำไปสู่การสรุปผลว่าท่านผ่านหรือไม่ผ่านสมรรถนะในระดับใด

ข้อมูลของท่านจะถูกเก็บไว้เพื่อให้ท่านสามารถเรียกดูผลของแบบสำรวจที่ท่านทำไปแล้ว และในขณะเดียวกันเราจะนำข้อมูลไปออกแบบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาคม มจธ. ผู้ที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลรายบุคคลได้ จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาจารย์เท่านั้น ข้อมูลที่นำเสนอต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย จะเป็นข้อมูลภาพรวมของหน่วยงานและของมหาวิทยาลัยเท่านั้น

แนวทางการพัฒนาบุคลากร มจธ. โดย สำนักงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล (HRD) ร่วมกับสถาบันการเรียนรู้ (LI)

feather-calendarPosted on 25 มิถุนายน 2024 document Other Knowledgeคลังความรู้
แชร์

Academic Fair Presentation by CELT KMUTT

ขอเชิญบุคลากร มจธ. และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนเรียนรู้ “แลกเปลี่ยนแนวคิด พิชิต PSF”

feather-calendarPosted on 8 มิถุนายน 2024 document ข่าวและกิจกรรม2024
แชร์

📢📢📢 ขอเชิญบุคลากร มจธ. และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนเรียนรู้ “แลกเปลี่ยนแนวคิด พิชิต PSF”

เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นขอรับรอง PSF (Professional Standard framework) และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประโยชน์ที่ได้รับ รวมทั้งอุปสรรคและวิธีแก้ไขปัญหาที่พบ

📌 ในวันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2567 เวลา 9.00 -12.00 น.

รูปแบบ Online ผ่าน Application ZOOM

วิทยากรโดย

💎 รศ. ดร.สุรวุฒิ ช่วงโชติ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์, SFHEA

💎 รศ. ดร.ปริญญา เสงี่ยมสุนทร รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์, SFHEA

💎 ผศ. ดร.พิเชษฐ์ พินิจ หัวหน้าสาขาวิชาครุศาสตร์เครื่องกล, SFHEA

ดำเนินรายการโดย

อ.คชานนท์ นิรันดร์พงศ์ นักวิจัยประจำสถาบันการเรียนรู้, SFHEA

🎉 สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/psf-sharing

กิจกรรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

นายไพฑูรย์ อนันต์ทเขต โทร. 02-470-8424

KX-SMART PLAY

feather-calendarPosted on 6 มิถุนายน 2024 document กิจกรรมนอกหลักสูตร (Extracurricular Activities)
แชร์

“สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านเทคโนโลยีและทักษะการคิดให้แก่เยาวชน เพื่อเป็นนักนวัตกรรุ่นเยาว์ให้ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต” 

โลกยุคศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว พลิกผัน รุนแรง และคาดไม่ถึงต่อการดำรงชีวิตส่งผลให้ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งทำให้สังคมโลกทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เมื่อสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลง เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นเป้าหมายและกำลังหลักของประเทศที่จะต้องพัฒนา จะต้องมีการเตรียมความพร้อมสู่การปลูกฝังและออกแบบพื้นฐานให้เด็กและเยาวชนสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้แล้วและนอกจากนั้นจะต้องส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถแก้ไขปัญหาในการสื่อสาร รู้จักการทำงานร่วมกัน รับรู้กระแสโลกและมีความรับผิดชอบต่อสังคม สำนักเคเอ็กซ์ (KX) มีแนวคิดในการพัฒนาเยาวชนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต จึงมีการริเริ่มดำเนินโครงการ KX Smart Play เพื่อเป็นแหล่งพัฒนานักนวัตกรรุ่นเยาว์ให้ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศต่อไป 

โดยสถาบันการเรียนรู้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนไปสู่ทักษะในศตววรรษที่ 21 จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ KX SMART Play ผ่านการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการจากผู้เชี่ยวชาญของสถาบันการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะ Coding ที่มีพื้นฐานมาจากทักษะการคิดเชิงคำนวณ หรือ Computational thinking บูรณาการกับหลักการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์และเป็นระบบ อันเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเป็นนวัตกร ผู้คิดค้นนวัตกรรม ที่จะเติบโตไปพัฒนาสังคมไทยและสังคมโลกในอนาคต 


Link to web https://www.facebook.com/KXSMARTPlay/


ติดต่อ
KX Smart Play
2C-V09 EMJOY Zone The EmQuartier ชั้น 2 สุขุมวิท แขวง คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร


โทรศัพท์
064 163 2929
02-470-8386


อีเมล์ : kxsmartplay@gmail.com
Facebook : https://www.facebook.com/KXSMARTPlay/

โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาหรับเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 

feather-calendarPosted on 6 มิถุนายน 2024 document กิจกรรมนอกหลักสูตร (Extracurricular Activities)
แชร์

Junior Science Talent Project (JSTP) 
 

“เฟ้นหาและพัฒนาเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ (Gifted and Talented Children)เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยคุณภาพของประเทศในอนาคต” 

เป็นโครงการที่ต้องการเฟ้นหาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเด็กที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา หรือระดับอุดมศึกษา โดยจะมีโอกาส ได้เข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบค่ายเสริมประสบการณ์ การฝึกทำวิจัยในห้องปฎิบัตการ การฝึกอบรมความรู้ต่างๆ ที่หลากหลาย ในเชิงสังคม และศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้สามารถพัฒนาทักษะความสามารถทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ ให้เพิ่มขึ้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยจะมีนักวิทยาศาสตร์ พี่เลี้ยง ที่เป็นอาจารย์  และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานวิจัยต่างๆ คอยแนะนำ  ชี้แนะเพื่อก้าวสู่การเป็นนักวิจัยคุณภาพของประเทศต่อไปในอนาค 

สนับสนุนโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)


Link to web
https://www.nstda.or.th/jstp/
http://www.jstp.org/


ติดต่อ
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาหรับเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
Junior Science Talent Project (JSTP)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
อาคารนวัตกรรมการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มูลนิธิไทยคม ชั้น 13
126 ถ.ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กทม. 10140


โทรศัพท์
0-2470-8384
Website :
https://www.nstda.or.th/jstp/
http://www.jstp.org/

KOSEN KMUTT 

feather-calendarPosted on 6 มิถุนายน 2024 document หลักสูตรมัธยมตอนปลาย (High School Program)
แชร์

“พัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมของประเทศภูมิภาค ด้วยแนวคิดในการจัดการศึกษารูปแบบ KOSEN”

กระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินงาน “โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศภูมิภาค (โครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น)” ในปี 2562 เพื่อผลิตวิศวกรทางด้านการวิจัย และนวัตกรรม ที่สามารถทำงานในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตผลเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจของภาคตะวันออก อย่างตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรระหว่างรัฐบาลไทยและญี่ปุ่น โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษารูปแบบ KOSEN ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิตวิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญ 

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้มอบหมายให้สำนักงานห้องเรียนวิศว์-วิทย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนจำนวน 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรสาขาวิศวกรรมอัตโนมัติ (Automation Engineering) หลักสูตร Bio Engineering และหลักสูตร Agri Engineering โดยอยู่บนพื้นฐานแนวคิดการสอนแบบ “Story Based Learning” ซึ่งเป็นการร้อยเรียงเรื่องราวเพื่อการเรียนรู้ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ทางด้าน วิศวกรรมศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าใจ เชื่อมโยง และประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับการพัฒนามาใช้ในการวิเคราะห์ ออกแบบ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งในเชิงวิศวกรรมศาสตร์และในชีวิตประจำวัน 


Link to web http:www.kmutt.ac.th/GiftEd


ติดต่อ
โครงการ KOSEN สำนักงานห้องเรียนวิศว์-วิทย์ :
สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (สรบ.)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บางขุนเทียน เลขที่ 49 ซอยเทียนทะเล 25 ถนนบางขุน-เทียนชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150


โทรศัพท์
02-470-8389
02-470-8386
แฟกซ์ : (+66)02-470-8387
อีเมล์ : esc@mail.kmutt.ac.th
Facebook : https://www.facebook.com/KMUTTKOSEN